Wednesday, February 22, 2006

Hello Fujitsu!! Part 2

ต่อๆ...

หลังจากคราวที่แล้วที่ไปสั่งของไว้ ตอนวันพุธ แล้วคนขายก็บอกว่า ถ้าของมาแล้วเดี๋ยวโทรมาบอก สุดท้ายมันก็ไม่ได้โทรมา -_-' ต้องโทรไปถามเอง (แย่จริง) เราก็บอกว่างั้นไปเอาของประมาณ 3-4 โมงเย็นนะ ทางนั้นก็โอเค

ถึงเวลาก็ไป... แน่นอน Boss ก็ติดตามไปด้วย เพราะวันนี้ว่างแล้ว

พอไปถึง... วันนั้น ที่ร้านมันยุ่งจริงๆเลยจอร์จ ลูกค้าเพียบ (ประมาณ 5-6 คน... ปกติแทบจะไม่มีคนเลย สงสัยมันซื้อออนไลน์กันหมด) แต่คนขายมีกัน 2 คน ขายกันไม่ทันเลย ต้องไปรอนิดหน่อย หลังจากบอกว่าจะมาเอาของทางนั้นก็บอก รอแป๊ป (เกือบครึ่ง ชม.) โอเครอก็รอ แล้ว Boss ก็ไปเดินดูสิ่งที่เรากลับไปรายงานก็คือกระเป๋าโน้ตบุค เห็นของ Fujitsu แล้วก็ชอบ เพราะเนื้อผ้ามันดีมาก แต่กระเป๋ามันเป็นแบบกระเป๋า (งงมั้ย) คือมันเปิดซิปได้ไม่สุด ที่ต้องการคืออยากให้มันเปิดได้สุดๆ จะได้ทำงานในกระเป๋าได้ แต่ก็ดูยี่ห้ออื่นๆ แล้วเนื้อผ้ามันไม่ดีเท่า Boss ก็มองๆ ไว้ก่อน

พอคนขายเห็นเราเดินๆ ดูกระเป๋าก็หันมาพ่นว่า

Staff1: Hey mate, do you get a permission from your wife already?
\me: She's here! see!
Staff1: Oh [laugh]

หลังจากนั้น Boss ก็พ่นโต้ตอบกับคนขายว่าอยากได้แบบที่ซิปเปิดให้สุด จะได้ทำงานได้ในกระเป๋า blah blah blah แล้วก็เลือกไปเลือกมา คนขายก็ดีใจหาย เอารุ่นนู้นรุ่นนี้มาให้เลือก พอสบโอกาสเราก็หันไปสะกิดคนขายแล้วบอกว่า

\me: Look! now you know, who's the BOSS.
Staff2: พยักหน้าทำท่าเห็นด้วย

เสร็จสรรพ Boss เห็นแล้วว่า ไม่สามารถหากระเป๋าที่ดีกว่า Fujitsu ได้ (จริงๆ ก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่มาบอกเราทีหลังว่าเห็นเราอยากได้มาก ... เป็นงั้นไป) ก็ถามว่า ถ้าจะซื้อจริงๆ ลดได้อีกหรือเปล่า คนขายบอกว่า เหลือ AU$40 ละกัน (\me ทำไมวันก่อนไม่ลดไห้กรูฟะ -_-' สงสัยกลัว Boss) งั้นโอเค เอากระเป๋าด้วย

Boss: OK, I choose the Fujitsu
Staff2: Alright! we now know who's the boss!!!


เอาหล่ะ ถึงเวลาจ่ายตังค์ ก็จะออก invoice ให้ แต่ก่อนหน้านั้นก็ถามอีกหน่อยว่า:
Staff2: Do you want a mouse as well? (จะขายของน่ะ)
Boss: Is that FREE!?
\me & Staff2: ... อึ้ง!!
Staff2: no.. no (เสียงอ่อย)
Boss: We have 3 mice in our house, Thank you.

หลังจากนั้นก็ออก invoice ให้
Staff2: I'll give you an invoice. Whose name do you want to use?
Boss: ME! (reply immediately)
Staff2 [laugh] OK. She's the boss

พอถึงเวลาจ่ายตังค์ ... ปกติเราจะจ่ายด้วย EFTPOS แต่ทีนี้ มันดันจำกัดจำนวนเงินที่จะ transfer ได้ภายใน 1 วันเอาไว้ที่ AU$700 มั้ง เลยจ่ายไม่ได้ ก็ไปหาธนาคารเพื่อจะถอนเงิน เสร็จแล้วก็กลับมาจ่าย... รวมทั้งสิ้น AU$1,555.00 (รวมค่ากระเป๋าด้วย เมื่อบวกกับที่จ่ายมัดจำไว้วันก่อน ก็เป็น AU$1,755.00)

Staff2: It's 1,555 and hey, no tips? I have to carry a notebook for you.
Boss: I've already paid you 20 bucks. (อันนั้นมันค่าขนส่งจาก Adelaide)
Staff2: [laugh]
Boss: Actually, I'm only the wife, not the boss
\me: WIFE's equal to BOSS!!
Staffs: [laugh]
Staff2: Have a good weekend.

Note: mate (เพื่อน, สหาย,...)เป็นคำที่ชาว Aussie เรียกคน(มักจะเป็นผู้ชาย)ที่ไม่ค่อยคุ้น หรือไม่รู้จักชื่อ หรือจำชื่อไม่ได้ นัยว่าเพื่อความเป็นกันเองมั้ง เหมือนคนไทยนับญาติเรียกพี่ๆ ประมาณนั้น ออกเสียงสำเนียงออสเตรเลีย จะออกประมาณ ไมท์ (ที่โน้ตอุดม ฟังเป็น ไมค์ ตอนมาออสเตรเลียน่ะ)

To be continued...

Saturday, February 18, 2006

Hello Fujitsu!! Part 1

เมื่อวานไปซื้อ Laptop มาอีก 1 เครื่อง เรื่องของเรื่องก็คือว่า Laptop เครื่องเก่า (เราเรียกมันว่าอีแก่) อายุเกือบ 5 ปี เป็น Compaq (สมัยยังไม่ได้ไปอยู่กับ HP) Duron 950 MHz, 256M RAM, 20GB HDD มันรวนมาก CD-ROM ก็เกือบเจ๊ง อ่านแผ่นไม่ออกแล้ว, HDD ยังดีอยู่ แต่ว่าเกิดอาการเครื่อง freeze บ่อยมาก คาดว่าน่าจะเกิดจาก memory มันใกล้เสื่อม อีกอย่างคือแฟนดันไปลง Win XP Pro เถื่อน เลยไม่ค่อยกล้า update อะไร คาดว่าถ้าใช้อยู่ต่อไปแล้วเกิดมันกู่ไม่กลับตอนใกล้ๆ จะส่ง paper หรือ Thesis อาจจะทำให้ไม่จบได้ นอกจากนี้ก็คือ มันช้าาาาา มากๆ ทั้งๆ ที่หาไวรัสและ spyware ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้แล้วก็ไม่เจออะไร เรียกเปิดโปรแกรมทีเกือบ 1 นาที -_-'

จริงๆ ก็มี Laptop อยู่อีก 1 เครื่องซื้อมาประมาณ ปีครึ่ง เป็นของ NEC ใหม่และเร็วกว่าอีแก่เยอะเลยแหละ เพราะใช้ Desktop CPU P4 3.06 GHz ได้ HDD น้อยหน่อยแค่ 40G เราก็แบ่งใส่ Linux (Yoper) ครึ่งนึง และคนถือครองก็คือเราซะเป็นส่วนใหญ่ (จริงๆ ก็คือใช้ทำงานให้เมียด้วยนั่นแหละ) ทีนี้อย่างว่าคือพออีแก่มันรวน ก็เริ่มจะมาแย่งกันใช้เหมือนเดิม เลยคุยกันว่าเอามันอีกเครื่องดีไหม (รวมเป็น 3!!!)

ทีนี้ พอแฟนเปลี่ยนจากทุนมหาวิทยาลัย มาเป็นทุนรัฐบาล (กพ.) เขาก็ให้เงินสำหรับซื้อคอมพิวเตอร์มา 1 ก้อนเป็นเงินเกือบ ฿50,000 เราก็เลยตั้งใจว่าคงต้องซื้ออีกเครื่องแน่ๆ ก็มาเลือกกันว่าจะเอาอะไร ...

หลังจากเลือกอยู่นาน ได้ผู้เข้ารอบมา 2 เครื่องคือ Acer Aspire 1644WLMi ซึ่งให้ Centrino 2.0 GHz, 1 G RAM, 100 GB HDD, etc ราคา AU$1899 (~฿56,000) และ Fujitsu Lifebook 1211D ซึ่งเป็น Centrino 1.5 GHz, 512 MB, 60 GB HDD, 15"XGA ราคา AU$ 1599 (~฿47,000) แน่นอนว่าเหล่านี้คือราคาลดล้างสต็อกแบบสุดๆ ในภาวะปกติ ไม่สามารถได้ราคานี้เด็ดๆ (recommended retail price > AU$2000) หลังจากที่แฟนได้ไปถามคนอื่นๆ ใน Thaiclinic.com ว่าจะเลือกอะไรดี มีแต่คนบอกให้เอาแต่ Fujitsu ทั้งนั้น ก็เลยตกลงใจเอา Fujitsu

ทีนี้พอไปถามร้าน ท่านก็บอกว่า รุ่นนี้ไม่เหลือใน Melbourne แหล่ว -_-' เอาไงดี สั่งจาก web มั้ย แฟนบอก เอาก็ได้ ก็ลองไปหากัน... ก็ดันไปเจออีกรุ่นนึงที่เร็วกว่านิดหน่อย ประมาณ 200 MHz พร้อมกับ components สุดยอด คือ 15" WXGA, 512 MB DDR2/533 MHz RAM และ 60 GB SATA 5400 rpm ก็คือ Fujitsu Lifebook C1320 ในราคาลดล้างสต็อก AU$1,695 (~฿50,000) และดูจากเว็บก็เหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ เกือบจะสั่งซื้อแล้ว ก็ลองไปดูที่ค่าขนส่ง ปรากฏว่า AU$50 + AU$10 สำหรับค่า handling -_-' ทำไมมันขูดกันยังงี้วะ!! ก็เลยคิดว่าน่าจะไปซื้อที่ร้านคงจะดีกว่า อีกเหตุผลนึงคือ สั่งทางเว็บจ่ายด้วยบัตรเครดิตตัดบัญชีที่เมืองไทย ซึ่งหลังจากกลับบ้านไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ได้ไปผลาญเงินจนเกือบหมดบัญชี -_-' เลยไม่อยากจะรบกวนเงินเมืองไทยไปมากกว่านี้

แฟนบอก งั้นโทรไปถามซิว่ามีเหลือที่ Melbourne หรือเปล่า เราก็ต้องทำตามคำสั่ง คือโทรไปถาม เขาบอกว่า ถ้าจะเอาจะสั่งมาให้จาก Adelaide (อยู่อีกรัฐนึง -- South Australia) เสียค่าขนส่งเพิ่มนิดหน่อย (ถูกกว่าเว็บแล้วกัน) คงมาถึงประมาณวันศุกร์ แถมบอกว่าประกันเป็น 3 Years Warranty โห... 3 ปี สุดยอด ความรู้สึกตอนนั้นคือ เอาเลย รีบไปสั่งที่ร้านก่อน

พอไปถึงคุยกันเสร็จสรรพว่าสั่งของหล่ะ คนขายก็พยายามถามว่า ไม่เอาอย่างอื่นอีกเหรอ กระเป๋าโน้ตบุค, RAM (512 MB DDR2/533 AU$89 + ค่าติดตั้ง AU$25 -- ขูดจริงๆ เดี๋ยวซื้อมาใส่เองก็ได้เฟ้ย -*-), etc... เราก็บอกขอดูๆ ก่อนแล้วมีโปรโมชั่นลดอะไรให้บ้างรึเปล่า (แฟนสั่งมา) เขาบอก ขายราคานี้ลดแลกแจกแถมไม่ได้แล้ว อืมเราก็ว่า งั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวถามคนที่บ้านก่ิอน ... พร้อมกับโทรไปถามแฟน ท่านบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรลด ไม่เอา เอ้า... โอเค เราก็พ่นไปแบบนี้

Staff: Why don't you get your notebook carry bag? .. This one is Fujitsu. it's only 75 bucks. Or this one, Targus, only 65.
\me: Hmm, interesting. Do you have any discount if I buy this with the notebook?
Staff: No, sorry. You know, at this price, I can't do something like that.
\me: Alright. May I check it with somebody at home. Hold on.
Staff: Yes, sure.

แล้วก็โทรกลับไปถามแฟน...

\me: Hmm, that's interesting but sorry...
Staff: Are you sure? Buying a notebook without a bag is like you buy a car without fuel! (\me เกี่ยวกันตรงไหนวะ) How do you carry the notebook.
\me: Alright, my boss, actually my wife said NO!
Staff: อึ้งเล็กน้อย
Staff: [laugh] ... Oh... man, let her know who's the boss!
\me: [laugh] พูดไม่ออกเหมือนกันแฮะ

เสร็จแล้ว หลังจากที่เกลี้ยกล่อมเราไม่สำเร็จก็ให้ไปจ่ายมัดจำไว้ก่อน AU$200 แล้วก็เดินออกไปจากร้าน ขึ้นรถเมล์ + รถไฟกลับบ้าน

To be continued...

Thursday, February 09, 2006

ทำที่ชาร์จ ipod กันเองดีมั้ยเนี่ย

ใครที่ซื้อ iPod รุ่นหลังๆ ก็คงรู้ว่ามันไม่มีที่ชาร์จไฟบ้านแถมมาให้อีกแล้ว ซึ่งทำให้คนที่เป็นลูกค้าใหม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกันนิดหน่อย เพราะ USB - power adapter มันก็ใช่จะถูกๆ (AU$ 49.50, ฿1,650 ตามราคา Apple Centre ประเทศไทย) แต่เอาเถอะ วันนี้ผ่านไปที่เว็บ freemac.net แล้วไปเจอวิธีทำที่ชาร์จ iPod แบบฉุกเฉิน ใช้กับถ่าน 9V ทำโดยใช้
  • หัวแปลง USB<=>PS/2 (ต้องการหัว USB ตัวเมีย)
  • regulator 5V, 1A เบอร์ LM7805
  • ถ่านอัลคาไลน์ 9 V พร้อมหัวเสียบถ่าน
  • หัวแร้งและอุปกรณ์บัดกรี
ขอบอกว่า สุดยอดมากๆ ... รายละเอียดไม่พูดแล้ว ไปดูเอาเองที่ี่กระทู้นี้ ที่ freemac.net ละกัน

ขอบคุณ Freemac.net/คุณ cyberdude

Tuesday, February 07, 2006

Lexmark & Linux: Episode II

ไม่ได้ update blog มาเป็นเวลานานเหมือนกัน ไม่มีข้อแก้ตัว เพียงแต่พักนี้เบื่อๆ ไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็โอเค กลับมาเขียนต่อได้วู้ฮู้

จากคราวที่แล้วที่สามารถใช้เจ้า Laser Lexmark E230 ด้วย Yoper Linux ได้แล้ว เราก็จัดการต่อมันกับ wireless router ตัวเดิม (SMC 2804WBRP-G) ที่มี USB print server ในตัว ที่เมื่อก่อนไม่สามารถทำให้เครื่อง Inkjet เครื่องเก่าใช้ได้ (เพราะมันเป็น GDI) คราวนี้ลองทำให้กับหน้าต่างก่อนโดยทำตามคู่มือของ Router ก็เสร็จใช้งานได้แบบนิ่มๆ โดยตั้งค่า port ใหม่ แล้วให้พิมพ์ออกทาง TCP/IP

ทีนี้มาทาง linux มั่ง ในคู่มือให้รายละเอียดมาสั้นๆ สั้นมาก -_-' บอกมาแค่ว่าใช้กับ GNOME โดยเรียก printconf-gui แล้วใส่ชื่อ printer ว่า lpt1, เลือก local print queue แล้วก็ next, next แล้วก็เสร็จ (ใน GNOME มันง่ายเงี้ยจริงๆ เหรอ) สรุป... ไม่รู้เรื่อง -*- แถมเราใช้ KDE อีกต่างหาก สงสัยต้องหาทางงมไปเรื่อยๆ ด้วยการเปิด printing manager ขึ้นมาก่อน แล้วลอง add printer ดู (แบบว่าใน Windows ก็ทำยังเงี้ย โดยเลือกว่าเป็น local printer แต่ให้พิมพ์ออกที่พอร์ต TCP แทน)

มาไ ด้ถึงเปิด Add printer wizard ของ KDE แล้วก็ให้เลือกชนิด printer เอาล่ะสิ ชนิดไหนดีวะ? เลือกไปเลือกมาทั้งหมด ไม่ได้เรื่อง -_-' สุดท้ายลองไปเลือกที่ Other (ตามรูป)


คลิก Next แล้วมันก็พาไปหน้าที่ต้องตั้งค่ากันเล็กน้อย ก็จัดการใส่ URI (ไม่ใช่ upper respiratory tract infection นะ) ของการพิมพ์ คือ "lpd://" กับ IP ของ print server (ก็ router นั่นแหละ) เข้าไปพร้อมกับชื่ออุปกรณ์ (ตามคู่มือมันก็บอกให้ใช้ชื่อ lpt1 ลองใช้ชื่ออื่นดู ก็ปรากฏว่าพิมพ์ไม่ออก คงเป็นชื่อที่กำหนดไว้ใน print server แล้วคลิก Next มันก็พาไปเลือกไดรเวอร์ ซึ่งจากตอนที่แล้ว เราใช้ Generic PCL6 XL ก็เลือกเหมือนเดิม เสร็จแล้วลองพิมพ์หน้าทดสอบ ก็ปรากฏว่าออกมาอย่างงดงาม หุหุ


สรุป... ซื้อ Wireless Router + USB Print server มาก็คุ้มกับเงินที่จ่ายไปแล้ว (แต่ต้องซื้อ printer ใหม่อะ -_-') ตอนนี้อยู่ที่ไหนในบ้าน ใช้ OS อะไรก็สามารถสั่งพิมพ์ได้อย่างไม่มีปัญหาแล้วจ้า