Saturday, August 26, 2006

ศพ

ว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะเนี่ย แต่มันดันกลายเป็นหัวข้อมาถกกันในเว็บบอร์ดที่ผมเข้าประจำบอร์ดนึง ก็เลยอดไม่ได้ ต้องมาเขียนซักหน่อย

=คำเตือน= ข้อความในบล็อกตอนนี้ เป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้น และผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะออกความคิดเห็นแบบนั้น หากว่าคุณอ่านแล้วรู้สึกขัดใจ ขัดตา คุณมีทางเลือกที่จะ อภิปรายกับผมด้วยเหตุผล หรือไม่ก็ออกไปซะ (มี Link ไปที่อื่นๆ อยู่ข้างๆ)

ศพ หรือชื่อเรื่องเดิมว่า อาจารย์ใหญ่ เป็นภาพยนตร์ของสหมงคลฟิล์ม ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ใหญ่ หรือก็คือผู้ที่สละร่างตนเองมาให้นักศึกษาในวงการสาธารณสุขได้เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์ และดันเอาไปเกี่ยวโยงกับเรื่องวิญญาณแค้น ความลึกลับต่างๆ มากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าไม่ได้เป็นการให้เกียรติท่านผู้เสียสละเหล่านั้นเลย เหมือนเอาชื่อมาใช้หากิน

ขั้นตอนที่จะมาเป็นอาจารย์ใหญ่นั้นก็ไม่ได้ง่ายๆ เริ่มจากเจ้าตัวที่ทำการบริจาคแล้ว ทางญาติก็ต้องยินยอมด้วย (ตามกฎหมาย ศพถือเป็นทรัพย์ของญาติ ซึ่งหากไม่ได้รับการยินยอมในส่วนนี้ก็ไม่สามารถเป็นอาจารย์ใหญ่ได้) นอกจากนี้ ยังมีการคัดเลือกอื่นๆ เช่น ศพอุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ แล้วเรื่องการตรวจสอบศพที่จะมาเป็นอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ใช่เป็นแบบลวกๆ ดังนั้นเรื่องของการซ่อนศพเข้ามาแล้วกลายเป็นวิญญาณแค้นก็เป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในส่วนนี้อีกด้วย

จริงๆ แล้วอาจารย์ใหญ่เป็นผู้มีพระคุณกับใครบ้าง? หลายคนอาจสงสัย ผมขอตอบไว้ตรงนี้ว่า หากว่าคุณเป็นผู้ที่ ใช้บริการทางการแพทย์ก็ต้องถือว่าอาจารย์ใหญ่ก็เป็นผู้มีพระคุณของคุณด้วยเช่นกัน เพราะอาจารย์ใหญ่ถือเป็นผู้เสียสละและจำเป็นในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพื่อมาบริการหรือรักษาพวกคุณนั่นแหละ

โดยส่วนตัว (อีกแล้ว) เห็นว่า การสร้างหนังหรือสื่อต่างๆ ออกมาแล้วกระทบกับความเชื่อ หรือสถาบันต่างๆ นี่ดูท่าทางจะเป็นของชอบของสื่อนะ ทั้งศาสนา ทั้งวงการแพทย์ ต่อไปก็คง ตำรวจ ทหาร รัฐบาล (ถ้ากล้าทำอันนี้นี่จะดีใจมาก) เพราะว่ามัน ขายได้ ส่วนผลกระทบต่อสังคม หรือความเชื่อหรือว่าประชาชนอื่นๆ นั้นเอาไว้ทีหลัง ถ้าหากว่ามีแรง ก็ถือเป็นการโปรโมตไปในตัวแล้วก็ทำการแก้ไขไปทีหลังตามนั้น

หลายคนก็ออกมาบอกว่า "เฮ้ย นี่แค่หนัง คิดอะไรมากวะ แยกไม่ออกหรือไง รำคาญพวกประท้วงว่ะ" หรือ "ตอนก่อนสร้าง ตอนบวงสรวงเริ่มถ่ายทำ ทำไมไม่ออกมาตั้งแต่แรกเล่า เสร็จแล้วค่อยออกมา" เอาละ ผมคนนึงหละที่ไม่เชื่อว่า คนที่ออกมาประท้วงนั้นจะไม่มีวิจารณญาณจนกระทั่งแยกไม่ออกว่าเป็นหนัง หรือว่าเรื่องจริง แต่ การไปกระทบกับความเชื่อ หรือการสร้างความเข้าใจผิดให้คนอื่นต่อสิ่งที่คนกลุ่มนี้ รวมทั้งผมด้วย นับถือเนี่ย ก็ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผม หรือของคนกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน ตามรัฐธรรมนูญ และผมคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะประท้วงเพื่อทำการรักษาสิทธิ์อันพึงมีด้วยเช่นกัน ลองคิดในมุมกลับกันถ้าหากว่าเกิดมีการสร้างหนังที่สร้างความเข้าใจผิดต่อคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณนับถือแบบมากๆ (ไม่ต้องดูไกล ดูรายการหลุม... ที่สร้างความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเป็นไง) คุณอยากจะนั่งดูเฉยๆ ไม่คิดมาก นี่หนัง หรือว่าคุณอยากจะลุกขึ้นมาประท้วงแก้ไขความเข้าใจผิด

ส่วนเรื่องในการผลิตนั้น ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของใครกันแน่ที่จะต้องหาข้อมูล หรือหาที่ปรึกษา มันเป็นหน้าที่ของพวกผม พวกบุคลากรทางการแพทย์เหรอที่จะต้องรี่เสนอตัวเข้าไปรับรู้ว่า ตอนนี้กำลังบวงสรวงเปิดกล้องเรื่องนี้อยู่นะ เรื่องมันเป็นแบบนี้นะ มันไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ทั้งนักศึกษาแพทย์วันๆ เรียนก็ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น อยู่เวรต่างหาก เขียนรายงานผู้ป่วย อ่านหนังสือเตรียมสอบ แค่นี้หัวก็หมุนตายแล้ว แล้วแพทย์และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่วันๆ ต้องบริการคนไข้เป็นร้อยๆ นี่เขาจะต้องมาคอยติดตามหรือว่า คุณจะถ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วต้องรีบเสนอตัวเข้าไปเป็นที่ปรึกษา

ดังนั้น ผมถือว่ามันเป็น "การบ้าน" ที่ทางผู้ผลิตควรจะต้องนึกถึง และหา "ที่ปรึกษา" มาเพื่อลด impact กับความเชื่อของบุคคลกลุ่มบุคคลลงให้น้อยที่สุด จุดประสงค์ของภาพยนตร์คือความบันเทิง แต่มาแบบนี้บันเทิงไม่ออกว่ะ เป็นไงล่ะ เสียประโยชน์กันทุกฝ่าย ฝ่ายสร้างก็ต้องเสียเวลาตัดต่อแก้ไข โปรโมตชื่อใหม่ ฝ่ายประท้วงก็เสียชื่อ ถูกด่าอีกว่าไม่มีอะไรทำเหรอ (ทั้งๆ ที่ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบดีกว่า) ฝ่ายคนดูก็อารมณ์เสีย เหมือนได้อะไรไม่ครบ แถมหลายคนก็บอกว่าเป็นแบบนี้หนังไทยก็ไม่เจริญ ผมว่าคงมีซักทางที่ไม่ต้องมาเล่นกับเรื่องความเชื่อหรือสร้างอะไรที่มันดู Controversy แล้วสามารถทำให้วงการเจริญได้ ลองทำหนังเกี่ยวกับวงการของตัวเองดูสิ อีกอย่างก็คือ ถึงแม้จะมีที่ปรึกษาที่เหมาะสมเข้าไป ผมเชื่อว่า สิ่งที่ออกมามันก็ยังขึ้นอยู่กับทางผุ้ผลิตและสปอนเซอร์เป็นหลัก ซึ่งไม่สามารถรับประกันได้ว่า สิ่งที่ที่ปรึกษาบอกไปจะถูกนำมาแก้ไข

คนไทยไม่เหมือนฝรั่งแน่ๆ สังคมไทยมันมีอะไรที่ลึกกว่านั้น ฝรั่งอาจจะสร้างหนังที่ดูหมิ่นรัฐบาลประธานาธิบดี หรือแม้แต่กษัตรย์หรือราชินีในประเทศตัวเองได้โดยไม่รู้สึกอะไร แล้วคนดูก็ชอบซะด้วย แต่คนไทยมันไม่ใช่แบบนั้นการเข้าไปลบหลู่หรือว่าสร้างความแตกแยกให้กับความเชื่อ (อย่างแรงกล้า) ของคนไทยกลุ่มใดกลุ่มนึงเข้า มันต้องมีปัญหาแน่ๆ

หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นบทเรียนให้ทีมที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ หรือความบันเทิงอะไรขึ้นมาซักเรื่องนึงเก็บไปคิดได้ว่า ควรทำอย่างไรต่อไป รวมทั้งวงการต่างๆ ให้คอยเฝ้าดูวงการภาพยนตร์อย่างใกล้ชิด ถ้ามีอะไรไ่ชอบมาพากล จงรีบประท้วงก่อนการสร้าง ว่าควรเปลี่ยนโครงหรือบทหรืออะไรก็ว่ากันไป ไม่งั้นก็โดนด่าอีก

2 comments:

Anonymous said...

ผมไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ในเมืองนี้ใช้ส้นตีนคิดแทนหัวหรือไง
หลายๆเรื่องที่ควรจะแบน ก็ปล่อย หลายๆเรื่องที่ควรจะปล่อยก็ควรแบน
ไม่ใช่แค่หนังเรื่องนี้ แต่หนังอีกหลายๆ เรื่อง
แล้วพวกมึงจะโกอินเตอร์หาพระแสงหรือไงวะ

NOI said...

ตอนที่ผมเห็นโปสเตอร์โฆษณาครั้งแรก ผมเคืองจริงๆ นะ และคิดว่า อย่างนี้ตูไม่บริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่แล้วดีกว่า

(หากว่าบริจาคดวงตาไปก่อนแล้ว จะขอบริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ไหมครับ ?)