Sunday, June 07, 2009

Driving in Bangkok

กลับมาจากออสเตรเลียได้ 3 อาทิตย์ ก็ขับรถเกือบตลอด ทั้งจากบ้านไปรังสิต, ขับไปนู่นไปนี่ ไป Barcamp Bangkok 3 ที่ ม.ศรีปทุม, ขับไปศิริราช, ขับไปทำงานคลินิกที่ทองหล่อ และสุขุมวิท 93 หลังจากที่ห่างหายจากการขับรถในเมืองไทยไปเป็นเวลานาน ทำให้พบว่า การขับรถในเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพนั้น เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก...



เคยได้ยินคนพูดว่า ถ้าขับในกรุงเทพได้ ขับที่ไหนในโลกก็โอ(เค) อันนี้เห็นท่าจะจริง (แต่เพื่อนที่เป็นคนจีนก็บอกในทำนองเดียวกัน (แต่เป็นปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ แสดงว่าวุ่นวายได้ไม่ต่างกัน) แต่จะโดนจับปรับอานหรือเปล่าอีกเรื่อง เมื่อก่อนตอนยังอยู่เมืองไทยก่อนไปออสเตรเลีย ขับรถตลอด แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันน่ากลัวอะไร แต่เนื่องจากตอนที่อยู่ออสเตรเลีย ไม่ได้ซื้อรถ สรุป ไม่มีรถขับ หรือขับบ้าง ก็เช่ารถขับไม่ไกลเท่าไหร่ แถมกฎจราจรเข้มมากจนทุกคนต้องระวังกันหมด ถึงถนนจะงงๆ ไปบ้าง แต่เป็นบล็อกๆ ทำให้ถ้าไม่ได้อยู่บน highway ล่ะก็จะหาที่กลับรถ หาทางไปนู่นนี่ได้ง่ายอยู่ และที่ออสเตรเลียไม่มีมอเตอร์ไซค์จำนวนบ้าเลือดขนาดนี้ เลยทำให้รู้สึกว่าการขับรถในออสเตรเลียเป็นเรื่องที่ chill เอามากๆ

กลับมาอาทิตย์แรก กรุงเทพ อุดมไปด้วยทางด่วนที่ไม่เคยขึ้น ถนนที่เคยไปก็เปลี่ยนทางมั่ง ทำถนนมั่ง ไปได้มั่ง ไปไม่ได้มั่ง สรุป ขับรถหลงทางจนโดนค้อนไปหลายที อาทิตย์ต่อมา เริ่มไปทำงานที่คลินิกทองหล่อ ขับออกไปจากอ่อนนุช เข้าสุขุมวิท แล้วเข้าทองหล่อ ไม่มีอะไรมากมาย รถก็ติดพอสมควรประมาณว่าขึ้นรถไฟฟ้าไปมันเร็วกว่าแน่นอน แต่คลินิกที่ทำอยู่ลึกนิดหน่อย คือ ซอย 10 หรือหน้าโออิชิ เลยขับรถละกัน

ทองหล่อเป็นถนน(คาดว่าคงตั้งใจให้มี) 6 เลน ข้างละ 3 แล้วมันก็เหลือ 4 เพราะเลนข้างทางเท้าเอาไว้จอดรถ จากนั้นก็เหลือ 2 (dynamic) เพราะเลนขวาชิดเส้นกลางมันจะเป็นเลนที่รถรอเลี้ยวเข้าซอยต่างๆ ทั้ง 2 ด้านสรุป เหลือข้างละเลน แต่ก็ไม่เลวร้ายมาก ตอนเลี้ยวเข้าทองหล่อจากสุขุมวิทก็จะมีไฟจราจรอยู่ พอไฟเขียวเลี้ยวได้ (ประมาณ 30 วินาที) ก็ต้องมาติดคนข้ามถนนหน้าทองหล่อ, คนขายของเข็นรถข้ามถนน และมอเตอร์ไซค์ย้อนเลนเลี้ยวเข้าวิน ให้ได้เสียวเล่นๆ อยู่กลางสี่แยก ระหว่างทางไปที่คลินิก ก็จะมีรถเลี้ยวเข้าซอย, คนข้ามถนน, มอเตอร์ไซค์สวนเลนเวลาฝั่งตรงข้ามรถติด เป็นระยะๆ

ทีนี้ คลินิกที่ทำ มันต้องเลี้ยวเข้าซอย 10 ซี่งมันเป็นซอยที่สามารถไปโผล่เอกมัยได้ ดังนั้นรถเยอะมากช่วงเวลาเร่งด่วนจะมีรถรอเลี้ยวเป็นแถวยาว รถรอเลี้ยวออกจากซอยทั้งซ้ายและขวาก็เป็นแถวยาว มีไฟจราจร แต่มันไม่เปิด!! ปล่อยให้จัดสรรการเลี้ยวกันเองตามยถากรรม (มีตำรวจช่วง 7.00-8.30 น. มั้ง มาช่วยจัดสรรการเลี้ยว) ปัญหาตรงนี้มันวุ่นวายมากขึน เพราะ มอเตอร์ไซค์จำนวนมากจะไปทางตรง และมาขวางรถเลี้ยวที่เลี้ยวมาแล้ว 3/4 คันเบรคกันวุ่นวาย สุดท้ายรถที่เลี้ยวไป 3/4 คันนั้นก็ต้องจอดอยู่ตรงนั้นเพราะมอเตอร์ไซค์จำนวนมากเลื้อยตัดหน้า เหมือนซุงขวางแม่น้ำ รถที่รอเลี้ยวขวาจากซอยก็ไปไม่ได้ เพราะติดรถที่เลี้ยวอยู่ตรงนั้น รถที่จะไปทางตรงอีกข้าง (มุ่งสุขุมวิท) ก็ไปไม่ได้ เพราะติดรถที่เลี้ยวตรงนั้นเหมือนกัน รถรอเลี้ยวเข้าซอยก็ติดแน่ๆ อยู่แล้ว ดูแล้วก็คิดว่ามันจะรีบแทรกไปไหนกัน แทนที่ให้คันนี้ไปซะแล้วทุกคนก็จะได้ไป ต้องมาติดอีกห้านาทีทุกเลน เพราะ มอไซค์แทรกไปแทรกมา แทรกกันหมดทุกคัน

นอกจากนี้ ทองหล่อยังเป็นถนนที่ข้ามถนนยากมาก จากการที่มันมี หกเลน (ใช้วิ่งจริง 4 ) และช่วงเวลาพักเที่ยงหรือบ่ายถนนค่อนข้างโล่ง แต่รถไม่ว่าง ขับเร็วอีกต่างหาก การข้ามถนนเป็นเรื่องที่เสียวอยู่ไม่น้อย แถมฝั่งที่คลินิกอยู่มันก็ไม่ค่อยมีของกิน เลยต้องข้าม… การมีทางม้าลายไม่ได้ช่วยอะไร เพราะรถไม่เคยหยุดอยู่แล้ว เหมือนเอาสีมาทาถนนเล่นให้เปลืองงบประมาณ กว่าจะข้ามได้ รอแล้วรออีก เพราะไม่แน่ใจว่า ข้ามไปรถมันจะชะลอให้หรือเปล่า เหอๆ

การเปลี่ยนเลนในถนนกรุงเทพก็ยากมาก คือบางทีไม่มีรถ แต่มีมอเตอร์ไซค์พร้อมแทรกเข้ามาเป็นฝูง และคนส่วนมาก ไม่ค่อยนิยมให้เปลี่ยนเลนกันแล่นปิดทางกัน ทั้งที่ตัวเองก็ไปไม่ได้ ยิ่งทางเข้าออกซอยอย่างงี้ ปิดกันสนิทไม่ให้ใครเข้าออกกันเลยทีเดียว

พูดถึงเรื่องความมีน้ำใจเวลาขับรถ ที่เมลเบิร์น เปิดไฟเลี้ยวจะเปลี่ยนเลน หรือออกจากที่จอดข้างถนน รถมากกว่า 80% จะชะลอและให้เราไปก่อน ไม่มีจอดกลางแยก ไม่มีจอดปิดซอย ส่วนนึงคงเป็นกฎหมายที่ปรับแรงมาก แต่อีกส่วนนึงคงเป็นจิตสำนึกในการใช้ถนนร่วมกัน หรืออาจจะขับรถแบบเน้นกันว่าปลอดภัยไว้ก่อน ดูข่าวอุบัติเหตุจราจรที่เมลเบิร์นทีบอกว่า ปีนึงคนตายบนถนนจาก speed driving/drunk driving ~100 ได้ เห็นแล้วอยากหัวเราะ เมืองไทย ทั้งคนขับและผู้บริสุทธิ์ตายจากอุบัติเหตุการจราจรปีนึง เอาแค่ช่วงสงกรานต์ก็ปาเข้าไปหลายร้อยแล้ว

แต่ยังไงคนไทยก็ยัง (ค่อนข้าง) สุภาพเวลาขับรถ เพื่อนคนนึงมาเมืองไทยแล้วเห็นสภาพการจราจรอันวุ่นวายขนาดนี้ แล้วก็บอกว่า คนไทยโคตรสุภาพ ไม่เห็นมีออกมานอกรถ (มันร้อน) ไม่มีบีบแตรใส่กัน (ชินแล้ว บีบไปมันก็ไปไม่ได้) ไม่มีด่าฟักแฟงแตงโมกันเลยเวลาขับรถ (บอกไปแต่ว่า มันยิงกันเลยอ่ะ เวลาปาดหน้ากัน แต่เค้าดูไม่ค่อยเชื่อแฮะ) เทียบกับออสซี่ขับแล้ว แค่ไฟเขียวกำลังจะเหยียบคันเร่ง มันก็บีบแตรไล่หลังแล้ว แถมด่ากันเยอะด้วย

สรุป จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าคนไทยจริงๆ แล้วมีน้ำใจหรือเปล่า ขับรถสุภาพหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มากกว่าครึ่งขับรถแบบตามใจฉัน จะเลี้ยวก็เลี้ยว ไม่เปิดไฟเลี้ยว จะจอดก็จอด (ถึงจะเปิดไฟจอดก็เถอะ) ขาวแดงก็ไม่สน ถนนสี่เลนก็เหลือสอง จอดซ้อนคันแบบไม่สนใคร ฯลฯ

ถ้าไม่เคยไปใช้ถนนที่ออสเตรเลียมา คงไม่รู้สึกสังเกตมากเท่านี้ แล้วก็ปล่อยมันเลยๆ ไปแฮะ สรุปได้ว่า การจราจรในกรุงเทพมันวุ่นวายและน่ากลัวกว่าที่เคยคิดมากเลย (หรือว่าเราแก่หว่า) เมื่อไหร่มันจะหัดทำตามกฎจราจรกันซักทีวะ

4 comments:

Noi said...

เดี๋ยวนี้เขามีคำขวัญออกมารณรงค์กันว่า "วินัยจราจร สะท้อนวินัยชาติ"

สมัยก่อนนู้น เขามีคำขวัญออกมารณรงค์กันว่า "วินัยเริ่มที่บ้าน สอนลูกหลานให้มีระเบียบ"

ทำให้สงสัยว่า จริงๆ แล้ว พวกเรามีวินัยกันบ้างไหมนี่?

fatro said...

ที่ฝรั่งมีไม่ใช่น้ำใจครับ แต่เป็นวินัยแบบถึงขั้นจนเป็นมารยาททางสังคม

ที่คนไทยมีก็ไม่ใช่สุภาพครับ แต่แค่ไม่กล้ามีปากมีเสียง เป็นคนหน้าบาง แต่ด้วยที่อยู่บนรถเหล็กติดฟิลม์มืด ก็มีหน้าด้านกันมั้ง มากจนถึงขั้นกลายเป็นสันดานทางสังคม

ผมโดน tickets กระจาย ทั้งจากคน จากกล้อง (พิสูจน์ได้ว่าคนไทยขับที่ไหนได้แน่นอน จับปรับอานก็ได้แน่นอนด้วย)

ปล. บ้านเราบีบแตรถือว่าด่า :)

wd said...

อินเดียสุดยอดกว่านะ เขาเอากระจกมองข้างออกทั้งสองข้าง บอกว่าเกะกะ

รับแปลเอกสาร said...

ตอนนี้เมืองจีนหลายเมืองก็ดีขึ้นเยอะแล้ว เคยไปเมื่อก่อน ขอโทษเส้นเลนบนถนนไม่มีความหมาย สี่แยกไม่มีไฟแดง บีบแตรกันระงม

ส่วนอินเดีย คนที่เคยไปเค้าบอกยุ่งจริงๆ ไม่น่าไป