Monday, December 26, 2005

My First Blogging in Thailand

กลับมาเมืองไทยได้เกือบ 2 อาทิตย์ ยุ่งซะไม่มีอะ ต้องไปนู่นไปนี่ ติดต่อนู่นนั่นนี่ ออกจากบ้านเกือบทุกวัน เหนื่อยหว่ะ-_-' เข้าอินเทอร์เน็ตก็ไม่ค่อยได้ เพราะที่บ้านไม่ได้ติด ADSL ช้ามากๆ แถมต่อติดๆ หลุดๆ อีกต่างหาก เรื่อง update blog ไม่ต้องพูดถึง แค่คิดว่าต้องวต่อเน็ตก็เบื่อแล้ว ไม่เหมือนตอนอยู่ออสเตรเลีย เปิดโมเด็ม+wireless router ทั้งวันทั้งคืน บางทีทั้งอาทิตย์ปิดแค่วันเดียว (แป๊บเดียวด้วย)

วันก่อนมีโอกาสได้ไปศิริราช (พาแฟนไปส่งทำงาน, ดูดิ กลับมาพักก็โดนเรียกไปทำงาน) ก็เลยแวะไปหาคุณหน่อยแห่ง Speed Net Club ไม่เคยรู้จักหน้าตา หรือร้านมาก่อน เคยคุยกันทาง blog กับกระทู้ที่ Thailinuxcafe.com เฉยๆ แต่ก็อยากเจอ แถมบอกไว้ว่าจะไปเยี่ยมอีกต่างหาก พอไปถึงเสาชิงช้าก็ตามหาร้าน จากความทรงจำอันเลือนรางพอจะจำได้ว่าอยู่ถนนดินสอ แถวๆ เซเว่น เดินๆ ไปเกือบเข้าร้านผิดแล้ว :P เดินๆ ไปด้อมๆ มองๆ ก็เห็นว่าร้านใช้ Windows ก็เลยเดินผ่านไปคิดว่าไม่ใช่ เดินต่อไปอีกไม่นานก็เจอร้านแปะป้ายว่า Speed Net Club อันนี้ของแท้ เดินวนๆ ด้อมๆ มองๆ อยู่อีก 2-3 รอบเห็นว่าลูกค้าไม่เยอะ ก็ดุ่มเข้าไปเลย

แอ๊ดด!!
คุณหน่อย: สวัสดีครับ (ทำหน้าเหมือนว่ามีลูกค้า)
ผม: สวัสดีครับ คุณหน่อยใช่หรือเปล่าครับ (กล้าๆ กลัวๆ นิดหน่อย)
คุณหน่อย: ใช่ครับ... เอ่อ คุณ DrRider ใช่ไหมเนี่ย
ผม: ถูกต้องนะคร้าบบบบ (ทำท่าเหมือนปัญญา)
คุณหน่อย: แหม่... เจอกันจนได้ ตัวเล็กกว่าที่คิดนะครับ
ผม: (ดีใจนิดหน่อยที่มีคนว่าตัวเล็ก) อ้าวคิดว่าผมเป็นยังไงเหรอ
คุณหน่อย: คิดว่าจะแบบ ตัวใหญ่ๆ หน่อย แบบไรเดอร์ก็ต้องตัวใหญ่ๆ ไงครับ
ผม: (แค่นี้ก็หนักแย่แล้ว) เอ่อ.. ฮ่า ฮ่า
คุณหน่อย: แล้วก็ดูหนุ่มกว่าที่คิดเสียอีกนะครับ
ผม: (หือ?) หมายความว่าไงครับ
คุณหน่อย: แบบผมคิดว่าจะประมาณ 40 กว่าๆ อะครับ
ผม: (หูย ... ผมยังไม่ 30 เร้ย) เอ่อ งั้นเลยเหรอครับ -_-"
...
แล้วก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อย คุณหน่อยก็ขอตัวไปนอกร้านสักแป๊บ ก็ไม่ได้คิดอะไร สักพักคุณหน่อยก็กลับมาพร้อมกับน้ำเย็น 1 ขวดจากเซเว่น โห ผมงี้อึ้ง+ซึ้ง น้ำตาแทบจะไหลพราก T-T

ร้านคุณหน่อยที่ไปเห็นมาก็เป็นร้านเน็ตสีขาว (หม่นๆ นิดหน่อย) จริงๆ ครับ ใช้ Linux ทั้งร้าน แล้วก็มี Win98 1 เครื่องเอาไว้สแกนงานให้ลูกค้า ตอนที่ไปก็มีลูกค้าชาวต่างประเทศอยู่ 2 คน กำลังเช็คเมลอยู่ แล้วดูเหมือนคุณหน่อยก็กำลังพิมพ์งานอยู่ด้วย OO.o (TLE หรือเปล่าไม่ทราบ ไม่ทันได้สังเกต) จากนั้นก็กลับมานั่งคุยกันต่อนิดๆ หน่อยๆ (ยังไม่กล้าถามเรื่องแฟนและเรื่องแต่งงาน หุหุ หวังว่าจะมีขจ่าวดีเร็วนี้นะครับ) หวานใจ (เมีย) ก็โทรตามว่าเสร็จแล้วให้มารับได้ก็ลากันตรงนั้น

วันนั้นไม่ค่อยมีเวลา วันหลังถ้าผ่านไปจะไปอุดหนุนนะครับ :D ไว้ไปซัดกาแฟด้วยกัน เผื่อจะพาแฟนไปเล่นเน็ตที่ร้านด้วยดีไหมครับ

Wednesday, November 30, 2005

My iPod, 30G 7500 songs PC+Mac

ห่างหายจากวงการ blog ไปซะนาน ไม่ได้ blog มา 2 อาทิตย์เศษ ที่จริงก็ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แค่นั่งแปล KDE (ออก 3.5 แล้วนะจ๊ะ แต่ไหง ภาษาไทยยังไม่มีก็ไม่รู้ คุณโด่งอะเร่งแปลแล้วนะเนี่ย) แค่นั้นเอง แปลๆ ไปก็เกิดเบื่อๆ ไปซะงั้น (ไม่ได้เบื่อแปลนะครับ) เลยไม่ได้มาเขียน blog


วันก่อนลองโหลด
iTunes 6 มาลองเล่นดู ซึ่งก็ยังไม่มี iPod อยู่ดี รู้สึกว่า Apple นี่ทำอะไรเข้าท่ามากๆ ทั้งการจัดการไฟล์เพลง การจัดการ Podcast รวมทั้ง iTunes Music Store ก็ด้วย แต่ลองๆ เข้าไป search ดูแล้วก็ไม่เห็นมีเพลงที่เราอยากฟังเลย(ว่ะ) คือ ชอบ T-SQUARE มากๆ แล้วก็เจือกทำทั้งเทปทั้ง CD หายไปบ้าง ไม่ได้ซื้อบ้าง บางชุดซื้อเทป แต่อยากได้ CD ปรากฏว่า สงสัย Sony ไม่อยากเล่นกับ Apple อุตส่าห์ลองเข้าไปดูที่ iTunes Japan ยังไม่มีเลย ก็แห้วไป ดูท่า Apple คงไม่ได้กินเงินตูในเรื่องนี้แน่ อ้อ อีกอย่างที่ประทับใจมากคือ มันเตรียม Radio Stream มาให้เพียบ เพราะๆ ทั้งนั้น สุดยอด ทีนี้ก็ลองฟัง Podcast ดู โอ... นี่ก็สุดยอดอีกเหมือนกัน นับว่า Apple ฉลาดมากที่หันมาสนับสนุน Podcast รายการแรกที่โหลดมาฟังก็คือ MacDD Radio ของ MacDD.com นั่นเอง ฟังๆ ไปชักหมั่นไส้คนเล่น Mac เหมือนกันแฮะ

ทีนี้มาเรื่องที่จั่วหัวไว้ ในที่สุดก็ได้ iPod 5G ขนาด 30G มาครอบครอง หึหึ หุหุ โฮ้โฮ่ๆๆๆๆๆ ด้วยราคาที่ถูกกว่าเมืองไทยกว่าห้าพัน อาศัยใบบุญของหวานใจที่เป็นนักเรียนของ Monash University ทำให้ได้ส่วนลด (student discount) ~10% คือจาก AU$ 449 เหลือ AU$ 403.70 และเนื่องจากซื้อตอนใกล้บินกลับเมืองไทยก็ว่าจะเอาไปเคลม GST (เหมือน VAT) อีก 10% ที่สนามบิน (AU$36.70) สรุปเป็น iPod ที่ถูกมาก รวมแล้วคือ AU$ 367 หรือประมาณ 11,200 บาทเท่านั้น (ณ วันที่จ่าย ไม่รู้ตอนนี้ค่าเงินขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว) ไม่ได้ซื้อ Apple Care เพราะมันแพง AU$ 99 แน่ะ เทียบกับราคา iPod แล้วไม่ค่อยคุ้ม ส่วนตัว iPod ได้มาไม่ทันไรจับใส่ๆ หมดพื้นที่ไปแล้ว 10% (รู้งี้ซื้อ 60G ดีกว่า) ตอนนี้แฟนอยากได้ remote อีก (ไม่ใช่ที่ใช้กับ Dock นะครับ เป็นแบบ remote ของ walkman น่ะ) แต่ไม่รู้ซื้อที่ไหน ใน Apple Store ไม่มีสำหรับรุ่น 5G ขาย

ได้ iPod มาลองกับมือแล้วรู้สึกว่า บางมาก ประกอบดี (แม้ว่าจะ Assembled in China ก็เหอะ -_-' เสียวๆ เหมือนกันนะเนี่ย) click wheel นี่เป็น interface ที่เจ๋งมาก และรู้สึกว่าใช้งานค่อนข้างง่ายสามารถใช้สัญชาตญาณได้ (intuitive น่ะ) แต่อย่างน้อยก็ควรเปิด Quick Start อ่านซะก่อน จะได้ไม่ทำอะไรผิดพลาด

พอเสียบเข้าคอมที่มี iTunes (+ ipodservice) อยู่แล้วเครื่องก็สามารถ detect iPod ได้ทันทีและจัดการ sync (แปลว่าอะไรดี) เพลงใน library และ playlist (แปลว่าไงดี) ให้ทันที การถ่ายเพลงผ่าน USB 2.0 เร็วมาก ทั้งหมด ~ 2G ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีเลยอะ เสร็จแล้ว เสียงก็นับว่าดีมาก เสียงเบสหนักดี ชอบ (หูฟังมาตรฐานที่แถมมา) ขั้นต่อไป ลองดู video ด้วยการแปลงไฟล์ *.avi (DivX) ที่มีอยู่ในเครื่องด้วย Videora iPod Converter (เป็น front end อีกตัวของ ffmpeg) ที่มาพร้อม profile สำหรับแปลงให้เสร็จสรรพ เป็น .mp4 ขนาด 320× 240, 768 kbps/128kbps จากไฟล์หนังFansub Magiranger ตอนที่ 27 (TV-Nihon.com)ขนาด 230 MB เหลือประมาณ 150 MB ดูในจอ iPod แล้วชัดเหลือเชื่อ อ่าน subtitleยังได้เลยอะ สุดยอด... แผนต่อไปคือ rip VCD Karaoke ที่ซื้อเอาไว้นานแล้วมาลง iPod เก็บไว้ดูบนเครื่องบินตอนจะกลับบ้าน (iTunes ก็ไม่ได้กินเงินตูอีกเช่นเคย)

โอกาสหน้าเดี๋ยวจะมาเล่าเพิ่มเรื่อง iPod, 30G 7500 songs PC+Mac(+Linux) นะจ๊ะ

ปล . ตอนแรกไม่รู้เลยหว่ะ ว่าจะซื้อ Student price นี่ซื้อได้แต่ On-line ไปซื้อที่ Apple Centre ไม่ได้ =_=' ไปถามที่ร้านบอกว่าต้องสั่ง on-line หรือ by phone ไม่รู้ทำไม (โดนหวานใจว่านิดหน่อยเรื่องทำไมไม่ถามก่อน เสียเวลามาที่ร้าน) เพื่อความแน่ใจก็โทรไปถามที่ Apple (133MAC) อีกทีก็ยืนยันว่า ซื้อ on-line คนซื้อก็ต้องอายุ 18 up แถมต้องมีบัตรเครดิตอีก จริงๆ ก็มีทางเลือกอื่น เช่น money order หรือ ตั๋วแลกเงิน กับ เช็ค แต่จะลำบากเพิ่มขึ้นด้วยต้องโทรไปที่ Apple แล้วก็บอกว่าจะจ่ายแบบอื่น ไม่มีบัตรเครดิต แล้วก็จะเสียเวลาเคลียร์เช็คอีก 2-4 วันทำการกว่า order จะได้รับการ process สรุป... สั่ง online ด้วยบัตรเครดิต order confirmed และ ส่งของภายใน 24 ชั่วโมงวันจันทร์ ได้ iPod มาเมื่อเช้า (วันพุธ) ตอน 8 โมง เร็วมาก... ^_^

Sunday, November 13, 2005

OpenOffice.org 2.0

ช่วงนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องฮิต เลยขอเขียนมั่ง หลังจากได้ลอง OO.o เวอร์ชัน 2.0 บน Windows มาได้สักพักก็ค่อนข้างประทับใจพอสมควร กับคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เพิ่มมาจากเวอร์ชันแรก ก็เลยลองโหลด ของ Linux มาลองติดตั้งดูบน Yoper มั่งโดยจัดการลบเวอร์ชันเก่า (มาก) ที่ติดมากับ Yoper ออกก่อน โหลดเรียบร้อย ได้มาเป็นไฟล์ .tar.gz ก็ลองแตกออกมาดูปรากฏว่าเป็นไฟล์ rpm เต็มไปหมด!? เอาล่ะสิ ใส่ตัวไหนก่อนดีวะ เดี๋ยว dependencies ตีกันยุ่งเลย เปิดหาใน readme ก็ไม่บอกไว้ว่าจะให้ติดตั้งยังไง ตามไปตามมาก็ต้องขุดเข้าไปในเว็บของ OO.o เยอะเหมือนกัน ปรากฏว่าติดตั้งง่าย ๆ เลย แค่เข้าไปใน Directoryที่แตกออกมาแล้วก็สั่ง


# rpm -Uvh *.rpm


มันจัดการลงไฟล์ให้ตามลำดับเรียบร้อย
... (ไม่ยักรู้ว่า rpm ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยแฮะ... อายเป็นบ้าเลย ปกติเคยลงแต่โปรแกรมเดี่ยวๆ อันนี้มันมาเป็นชุด) ที่ /opt (จริงๆ สามารถระบุ directory ที่จะให้ติดตั้งก็ได้ แต่ขี้เกียจ)

ลงเสร็จก็ลองเริ่มใช้งาน ... เปิดที่ KDE menu อ้าวเฮ้ยไม่มีที่เรียกโปรแกรม เอ้า! ไม่เป็นไร เรียกจาก command line ก็ได้วะคงเหมือนๆ เวอร์ชันก่อน สั่ง soffice ... อ้าวทีนี้บอกว่าไม่รู้จักคำสั่ง -_-'... ก็ไม่เป็นไรสงสัยไม่ได้ตั้งพาธเอาไว้ ก็เข้าไปทำ symbolic link เอาไว้ที่ /usr/bin แล้วก็เรียก soffice... ขึ้นมาแล้วเป็นหน้าว่าง ต้องสั่งสร้างเอกสารใหม่เป็น writer แล้วก็จัดการตั้งค่าตัวเลือกเกี่ยวกับภาษาไทยทั้งหลายทั้งปวงที่ mk เขียนไว้ที่นี่ แล้วก็เริ่มลอง อืม.. เท่าที่ลองก็ตัดคำไทยบน linux ได้ดีพอๆ กับ win (แหงละ) แต่มีบางคำตัดคำแปลกๆ ยังไม่ได้ลองอะไรมากกว่านี้ แต่ใช้ๆ ไปชักชอบ Styles and Formatting แฮะ สะดวกดีใช้ได้เลย (จริง ๆ แล้วเวิร์ดโปรเซสเซอร์ตัวไหน ๆ ก็มี แต่ไม่เคยใช้) นอกจากนี้ก็ลองใช้ Impress เปิดสไลด์ของ PowerPoint ดู (ที่ไม่ได้มี animation อะไรมากมาย) ก็สามารถแสดงผลและ animation ได้เที่ยงตรง (สไลด์ภาษาอังกฤษล้วน) ส่วนวิธีเรียกแต่ละโปรแกรมขึ้นมาทำงานก็ไม่มีอะไรมาก แค่เติม ชื่อโปรแกรมเข้าไปหลัง soffice แค่นั้นเอง เช่น soffice -writer, soffice -impress, soffice -calc ก็จะเปิดโมดูลที่ต้องการขึ้นมาได้

สรุป ใช้งานบน Linux ได้เหมือนบน Windows เลย และเท่าที่ใช้มายังไม่มีอาการ crash ต อน บันทึกไฟล์เลยสักครั้ง แต่หวังว่าคงจะปรับปรุงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มความยืดหยุ่นอีกหน่อยโดยเฉพาะการสร้างกราฟ เออเพิ่งสังเกตว่าไอ้เครื่องมือ I cursor ที่ใช้ไปบรรทัดที่ต้องการได้ทันทีแม้จะยังพิมพ์ลงไปไม่ถึง มันหายไปไหนหว่า สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ทีม OO.o, Sun, Sipa และทุกๆ ท่านที่ได้สร้างสรรค์ชุดซอฟต์แวร์สำนักงานทางเลือกมาให้แก่โลกใบนี้นะครับ

คลิตรงนี้ไปดูเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
click here to see English version

Saturday, November 05, 2005

น้ำตาเพชฌฆาต


เมื่อคืนนั่งแปล KDE จนดึกดื่น (แปลไปเล่นไปดู TV ไป :P ) ก็เลยมีโอกาสได้ดูผลงานการ์ตูนสุดคลาสสิคของ อิเคงามิ เรียวอิจิ เรื่อง น้ำตาเพชฌฆาต หรือ Crying Freeman ภาคคนแสดง (1995)เป็นหนังฝรั่งนะไม่นึกว่าเก่าขนาดนี้เหมือนกันแฮะ -_-' (คุ้นๆ ว่าเคยมีคนเอาไปทำภาคฮ่องกงด้วย)เป็นผลงานร่วมกันของโตเอะ(บริษัทที่ทำ Kamen Rider) กับบริษัทอะไรไม่รู้จำไม่ได้ rate ของหนังเป็นถึงขั้น MA เนื่องด้วย Violence and strong sex scene เลยมาฉายซะเกือบตี 1

เ รื่องในหนังจับความตั้งแต่เริ่มต้นจนมาประมาณจบเล่ม 4 (ฉบับพิมพ์ดั้งเดิมของสยามฯ ชนิดไม่มีลิขสิทธิ์) ได้มั่้งตอนที่สู้กับพวกแก๊งค์ของริวจิเสร็จแล้วก็โดดลงทะเล ... ก่อนที่โย จะกลายเป็นหลงไท่หยางหัวหน้าองค์การ ๑๐๘ มังกร เนื้อเรื่องก็มีการดำเนินเหมือนภาคการ์ตูนเกือบหมด ฆ่าคนโน้นคนนี้ ตัวประกอบเกือบครบถ้วน มีการดัดแปลงพอสมควร ทั่้งสถานที่เกิดเหตุการณ์ก็เป็นอเมริกา แล้วก็ย้ายไปเซี่ยงไฮ้ แล้วก็มาญี่ปุ่น ไปๆ มาๆ ดูแล้วงงๆ คุณตำรวจ นีตะ (ถ้ายังจำได้) กลายเป็นตำรวจอเมริกัน !? (หรือเป็นอินเตอร์โปลวะ) ไม่รู้มาสืบอะไรกับเหตุการณ์ที่ยากูซ่าญี่ปุ่นไปบุกฆ่าคนในโรงงานทำเต้าหู้ท ี่เซี่ยงไฮ้ (ถิ่น ๑๐๘ มังกร) -_-'

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หนังเรื่องนี้ใช้ 3 ภาษา อังกฤษ-จีน-ญี่ปุ่น ตอนมันพูดภาษาอื่นเจือกไม่มี subtitle ขึ้นมาแล้วกรูจะรู้ไหมว่ามันพูดอะไร -_-' (ถ้าไม่ได้อ่านมาก่อน งงตายเลย)

ดูแล้วคิดถึงจังเคยซื้อไว้ครบชุดเลย ไม่รู้เอาเรื่องนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลิขสิทธิ์เลย การ์ตูนเรื่องนี้มีฉาก เปลือย และ sexual intercourse เยอะทีเดียว (แต่ดูแล้วมันไม่เกิดอารมณ์นะ -- นี่แหละศิลปะ) ขืนเอาเข้ามาคงโดนนายกเก็บไปเผาทิ้งหมด

Thursday, November 03, 2005

KDE l10n Episode 2

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเครื่องมือที่ผมใช้ในการแปลนั้นมีหลายตัวอยู่ ตั้งแต่ svn ที่เป็น version control (ใช้ง่ายกว่าที่คิด), Kbabel ที่เป็นเครื่องมือสำหรับช่วยจัดการไฟล์ .po, เว็บสถิติการแปลของ KDE ที่ช่วยให้ผมตัดสินใจได้ว่า ควรจะจัดการกับส่วนไหนก่อน, ไฟล์ po ของภาษาญี่ปุ่น (ใช้อ้างอิงในบางคำ ว่า มันแปลหรือทับศัพท์หรือไม่ได้แปล) เพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นออกบ้างเล็กน้อย อ่านออกเสียงได้ อ่านคันจิได้บางตัว -_-' รวมทั้ง OSS Glossary ของ opentle และดิกเล็กซิตรอน

หลังจากนั่งแปล KDE มาได้สักพัก ก็เริ่มพบปัญหาเยอะขึ้นๆ แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากคุณ Donga และ หลายๆ คนที่อยู่ใน l10n mailing list ขอขอบคุณไว้ตรงนี้

ปัญหาที่พบมากๆ ก็คือว่า คำหลายคำนั้นยังไม่มีคำอธิบายภาษาไืทยที่สั้น กระชับได้ใจความ โดยเฉพาะเมื่อต้องแปลไปใส่ให้กับส่วนติดต่อผู้ใช้ (ถ้าเป็นพวกคู่มือ เราอาจจะใส่ให้ยาวๆ เพื่อขยายความก็ได้) นอกจากนี้ ประโยคอธิบายบางประโยคที่ถูกแปลมาก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะเป็นการแปลตรงตัวและ ใช้ไวยากรณ์เหมือนภาษาอังกฤษเช่นรูปการถูกกระทำ (passive voice) ซึ่ง มันก็อ่านรู้เรื่องนะครับ แต่มันดูแข็งๆ (อย่าคิดลึก) ยังไงไม่ทราบ ก็เลยต้องปรับหน่อยให้มันฟังดูสละสลวย (แต่ยาวขึ้น)

อีกอันคือเรื่อง fuzzy ซึ่งตอนแรกไม่เข้าใจ นึกว่าหมายถึง คำที่หาคำแปลแน่นอนเป็นทางการไม่ได้ แต่ไม่ใช่ คำอธิบายให้กลับไปดูที่คุณโ่ด่งอะ comment ไว้ใน post ที่แล้ว

อันที่ 3 ก็คือ KDE มันมี bot คอยใส่คำแปลที่ดูไปในทางเดียวกันให้ด้วย (เพิ่งรู้) แล้วใส่ comment ว่า fuzzy ซึ่งอันนี้ อ่านคำที่มันพยายามใส่ให้แล้วอารมณ์เสีย (อย่างงี้ไม่ต้องใส่ดีกว่า)

สรุป ตอนนี้ก็นั่งแปลไปเรื่อยๆ กะว่าจะทำให้ได้อย่างน้อยวันละไฟล์ (ที่มีคำแปลระดับไฟล์ละ 200-300 ขึ้นไป) ระดับการแปลก็เขียวเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ไปดูได้ครับ :D (แต่ก็ต้องแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือด้วยอะ เดี๋ยวตกอีก -_-')

คำคมวันนี้ -- ภาษาไทยยากกว่าที่คุณคิด หุหุ

Sunday, October 30, 2005

KDE l10n Episode 1

ตอนนี้ KDE โดน GNOME ทิ้งไปแบบไม่เห็นฝุ่นในเรื่อง Localization ไม่รู้เพราะสาเหตุใด จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนลุกขึ้นมาแปล KDE ต่อ เปอร์เซ็นต์การแปลยังต่ำกว่า 20% อยู่

ด้วยความที่อยู่ไม่สุข (จริงๆ ว่างมาก เพราะตามท่านผบ. มาอยู่ออสเตรเลีย) ก็เลยติดต่อคุณโ่ด่งอะว ่า อยากช่วยแปล KDE คุณโด่งก็ดีใจหาย อุตส่าห์ช่วยติดต่อโน่นนั่นนี่ แต่ก็มีอุปสรรคพอสมควร เช่น ติดต่อ Coordinator ไม่ได้, ติดต่อขอ account สำหรับทำงานก็ไม่ได้ เพราะทางโน้นงงว่า ทำไมต้องมีหลาย account ทีนี้คุณโด่งก็เลยให้ account ของตัวเองมา และเป็นการใช้ version control ด้วยโปรแกรม Subversion (svn) ซึ่งผมเองไม่มี (แถมยังโง่ๆ เรื่อง version control ด้วย) ก็เอ้า ไปดาวน์โหลดมา แล้วอ่านคู่มือเ ล็ก น้อย (มันเยอะ) ก็สามารถคอมไพล์และติดตั้งได้ แต่ปรากฏว่าใช้เวอร์ชั่นเก่าไป มีปัญหากับ SSL อีก ก็ไปโหลดมาคอมไพล์ใหม่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด (1.2.3) ทีนี้โอเค สามารถเข้าไป check out ไฟล์ต่างๆ ใน repository ได้

ปัญหายังไม่จบ ผมใช้ Yoper 2.1 (KDE 3.3.2) และไม่มีเครื่องมือในการจัดการกับไฟล์ .po เอ้าที่ดูก็ Kbabel นี่แหละ ดี แต่มันดันบอกว่าเวอร์ชั่นล่าสุด (1.10.1) นั้นถูกรวมเข้าไปกับแพ็คเกจ kdesdk ตั้งแต่ KDE 3.4.1 ไปแล้ว ถ้าต้องการโปรแกรมเดี่ยวๆ ให้โหลดเวอร์ชั่นเก่า (1.2) เอาก็เอาวะ เวอร์ชั่นเก่าก็ได้ โหลดมาเสร็จคอมไพล์ --- ไม่ผ่าน -_-' ทีนี้ทำไงหล่ะ ก็เลยเอา PCLinuxOS LiveCD ที่เคยโหลดมาใช้ (KDE 3.4.1) ยัด libthai กับ font ไทยเข้าไป เปลี่ยน locale อีกหน่อย อืมมี Kbabel พอดี ก็นั่งๆ ทำไป แต่ต้องทำงานเป็น root มันถึงจะ save งานได้ แถม ใช้ svn ไม่ได้อีก -_-' (ลอง chroot กลับไปที่ Yoper แต่มีปัญหาอะไรซักอย่างทำให้เข้า repository ไม่ได้) นอกจากนี้ ถ้าจะทำงานก็ต้อง set ใหม่อีก ไม่เอาละ มีวิธีอื่นไหมนี่??

และแล้วก ็เริ่มมีความคิดบางอย่าง ก็เลยไปโหลด kdesdk package ของ 3.4.3 มาซะ แล้วก็เอามาคอมไพล์เฉพาะ Kbabel (run configure รวม แล้ว make && make install เฉพาะ kbabel) ได้ผลเว้ย มีเครื่องมือใช้งานแล้ว แล้วก็ลงมือเริ่มนั่งแปล...

Wednesday, October 26, 2005

Apple's iTunes Music Store Australia

ในที่สุดมันก็มาเปิดที่ Australia จนได้ (แหงล่ะ) อย่างที่ทราบกันว่า iPod รุ่นใหม่เล่น video ได้ด้วย ดังนั้น iTunes Music Store ก็ขาย TV series และ Music video ด้วย ราคาก็ไม่แำพงนัก ซื้อเพลง เพลงละ AU$1.69 = 50 บาท เป็น format AAC, Music video เพลงละ AU$3.39 = 100 บาืท และเก็บไว้หรือเผาลงแผ่นก็ได้ ไม่มีอาการเพลงหายไปตอนสิ้นเดือน คิดไปคิดมาถ้าซื้อทั้งอัลบั้มก็พอๆ กับ CD เลย แต่ไม่ได้แผ่น, ปก, etc... ดังนั้นถ้าจะซื้ออัลบั้ม ซื้อ CD ดีกว่า แต่ถ้าเลือกเป็นเพลงๆ มันก็คุ้มดี

นอกจากนี้ก็มีบัตรเติมเงิน iTunes music ด้วยมีราคา 20, 50 และ 100 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย

ชอบความคิดในการทำการค้าของ Apple (Steve Jobs ด้วย) มันดูยุติธรรมดี แต่ยังไม่มี iPod เลยอ่ะ T-T อยากได้!! (ท่านผบ. อนุมัติแล้ว แต่ก็ยังสองจิตสองใจ เพราะต้องใช้เงินอีกเยอะ)

ปล. ถ้าจะซื้อ iPod ก็จะซื้อที่นี่แหละ ใช้สิทธิ์ท่านผบ. ที่เป็นนักศึกษาซื้อราคานักศึกษาซะ ลดมาอีก 50 เหรียญ
ปล. 2 ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะเนี่ย...


At last, Apple has opened iTunes music store in Australia. After the launch of the new iPod (5G) which can play video files, iTunes music store was improved to sell TV series episodes (Lost, one of the hit TV series in Australia) and music video as well as songs in various categories. In Australia, the price for a song is AU$1.69 whereas you have to pay AU$3.39 for a music video. The songs purchased on-line can be burnt to CDs or kept on your system forever, no expire.

Nevertheless, the price you have to pay for a full album is sometimes equal to buy an original CD but there's no CD, booklet, box, etc., just files. So, I think that it may worth purchasing a CD if you want a full album. In contrast, you may want only specific titles and it is a good idea purchasing them on-line.

Furthermore, Apple also sells iTunes music card in Australia. There're 20, 50 and 100 dollar cards to be sold in many outlets such as supermarkets, superstores and department stores as well as Apple Centre.

I like marketing idea of Apple (also Steve Jobs). It looks fair for both customers and artists and encourages customers not to support the pirate ones.

PS. I still have no iPod T_T (but my boss says okay if I have one).
PS2. If I buy an iPod, I'll buy here because of student (my boss) price. It's AU$50 off.

Tuesday, October 25, 2005

Access ReiserFS from Windows

พัก นี้ต้องทำงานบน Windows บ่อยมาก บ่อยซะจนแทบไม่ได้เข้า linux (อีกอย่างก็คือ ตอนนี้ X กับ KDE มันค่อนข้างจะเละๆ เพราะไป force update จาก xfree86 -> x.org ผลคือ ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม แถมยังรวนๆ อีก T-T ได้แต่รอวัน Yoper จะปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ซะที)

ทีนี้พออยากจะเอา ไฟล์อะไรซักอย่างที่อยู่ใน linux (ใช้ ReiserFS) มันก็ต้อง boot ใหม่เข้าๆ ออกๆ แถมเขียนใส่ ntfs ก็ไม่ได้ ที่ผ่านมาใช้วิธีเขียนลงเครื่องทูนหัวที่ต่อ lan ด้วยกันผ่าน SMB ก่อน แล้วบูตเข้า Windows ก็อปไฟล์มาอีกที เฮ้อ... (ลำบาก)

ทีนี้เดาได้ว่าปัญหานี้คงมีคนประสบพบเจอ และคงหาทางแก้ไว้แล้ว ก็ปรึกษาลุง google ได้ผลก็เอา entry แรกนี่แหละั, rfstool อ่านๆ ดูก็เป็นโปรแกรม command line สำหรับเข้าไำปดูและก็อปปี้ไฟล์ออกมาได้ แต่เขียนไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องการเขียน ReiserFS จาก Windows อยู่แล้ว แค่นี้ก็เหลือแหล่้ โหลดมาเรียบร้อยก็ทดสอบดู แตกไฟล์ zip ก็ใช้ได้เลย เปิด terminal เอ๊ย Command prompt แล้วยัด path ที่อยู่ของโปรแกรมเข้าไปก่อน แล้วก็เรียก rfstool อ้าว ครั้งแรกไม่ขึ้น มันบอกว่าให้ระบุ disk กับ partition ด้วย พร้อมบอกด้วยว่า reiserFS อยู่ partition 8 ก็เอ้า ใส่ option :
C:\>rfstool -p0.8 # -p เป็น option ระบุไดรว์ฟ คั่นด้วยจุดแล้วตามด้วย partition

ที นี้ มาแว้วว!! ดู root directory ของ partition ที่เป็น reiserFS ได้ ลองใช้คำสั่ง rfstool ดูอีกที ทีนี้ขึ้นเลยไม่ต้องระบุ drive แล้ว ก็ลองก็อปปี้ไฟล์ต่อ
C:\>rfstool cp /home/myname/hello.py c:\downloads\hello.py
Got newstyle partition information, assuming Window XP
about to copy /home/myname/hello.py -> c:\downloads\hello.py...found
Retreiving a total of 123 bytes
done.




ฮ่า ! copy ได้สำเร็จ ถ้าชื่อไฟล์ยาว มี space คั่นก็ใช้ double quote ครอบซะ นอกจากนี้ลองดูที่ด้านล่างของ page อืมมีคนเขียน GUI frontend ด้วย เอามาใช้ซะเลย Yet Another ReiserFS GUI (YAReG) ดูเหมือนเขียนด้วย C# ที่ต้องใช้ .NET framework ก็ไม่เป็นไร เคยโหลด .NET มาแล้วใช้ได้เลย

ก็ บอกแล้วว่าเป็น frontend ดังนั้นจึงต้องการ rfstool ด้วย โดยให้ไฟล์เรียกโปรแกรมอยู่ที่เดียวกับ rfstool ทีนี้ เราสามารถลากไฟล์จาก ReiserFS มาใส่บน windows ได้เลยไม่มีปัญหา โหะๆ ง่ายขึ้นเยอะ



ทีนี้ก็สามารถ share ไฟล์ระหว่า file system ได้แล้วไม่มีปัญหา ถึงจะเขียนไม่ได้ก็ OK

หมายเหตุ rfstool สามารถแจกจ่ายได้ภายใต้ GPL ส่วน YAReG เขาให้แจกจ่ายแบบ free distribution เฉยๆ ไม่ได้บอกว่าเป็น GPL

Sunday, October 23, 2005

TMI 2005

ในที่สุดก็มีเรื่องเกี่ยวกับ Medical Informatics นิดหน่อย (จนได้) ชมรมข้อมูลข่าวสารทางการแพทย์ หรือ Thai Medical Informatics Soceity (TMI, link อยู่ข้างๆ) จะจัดการประชุมวิชาการ เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ที่เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 7-9 ธ.ค. นี้ (ก็คงกลับไปไม่่ัทันอยู่ดี หุหุ) คราวนี้บอกว่านายกฯ มาปาฐกถาเปิดงานให้ เนื้อหาการประชุมก็เกี่ยวกับ มาตรฐานข้อมูล (เรื่องนี้ก็จัดก็พูดทุกปี แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซักที) ทั้งหลาย ทั้ง DRG, ICD, EMR และเรื่องเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีในการแพทย์ รวมถึงการใช้งาน Linux และ Opensource ด้วย วิทยากรก็หน้าเดิมๆ (ไม่ได้ว่านะ ด้วยความเคารพครับ) อาจเป็นเพราะ เรื่องนี้มันต้องอาศัยความสามารถหลายเรื่อง ก็เลยไม่สามารถหาวิทยากรหน้าใหม่ๆ ได้ มากนัก เท่าที่จำได้ว่ามาทุกครั้งก็มี อ. ชุษณะ (ตอนนี้อยู่ในกระทรวงฯ เรียบร้อย), พี่หมอก้องเกียรติ (HospitalOS) และวิทยากรท่านอื่นๆ คราวนี้มีวิทยากรจาก M$ ซะด้วยแฮะ

ก็ตามปกติ... เคยไปร่วมงานมา 2 หน ก็ไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างจากเดิมนัก คงมีบูธโชว์พวกอุปกรณ์ server, ระบบ software โรงพยาบาล, ขายคอมฯ บ้างนิดหน่อย และที่ขาดไม่ได้ก็ HospitalOS (ออกเวอร์ชั่น 3 แล้ว)

นอกจากนี้ก็มีการเสนอ paper ผลงานการวิจัยบ้าง เกี่ยวกับเรื่องการประยุกต์เทคโนโลยี ยกตัวอย่างเท่าที่เคยไปร่วมงานมาก็เช่น image processing สำหรับฟิล์ม X-ray, รูปแบบข้อมูล ฯลฯ

แต่ที่เห็นแล้วรู้สึกขัดใจหน่อยๆ ก็คือ ทำไมต้องส่งผลงานทางวิชาการเป็นไฟล์ Word ด้วยวะ?? -*- ถ้าไม่อยากใช้ OpenOffice (Open document, sxw) ก็ใช้เป็นพวก rtf ก็ได้ อะไรที่มันเปิดอ่านได้เป็นกลางๆ ทำไมต้อง Word ด้วยวะ?? ถึงจะเป็นหมอ ก็ไม่อยากจ่ายเงินซื้อ Office ทีละ 15000 เหมือนกันนะ


Thai Medical Informatics Soceity (TMI) will hold the academic conference on 7-9 Dec 2005 at Chiangmai. The theme of this conference is "IT for Quality". I've already seen the topics in this conference; there's no much change from last time I participated. The issue about data standard, DRG; ICD; EMR, IT application including Linux and opensource are discussed everytime the conference held. Of course, most of the participants support opnsource.

Furthermore, the Medical Informatics research paper, the things about IT and medical application such as image processing for X-ray film, Cluster server, etc... will be presented in this conference as well. I'm glad to see that Medical Informatics in Thailand is still going on despite some data standard issue -_-'.

One thing that annoy me is that the papers (or abstracts) have to be sent to the organiser (to be prepared as conference documents) as Word Document format. There are some central formats such as Rich Text Format (rtf) to be used if you don't like OpenOffice (Open Document or sxw), why Word? We shouldn't stick to the proprietary format and use the global standard for file exchange.

Saturday, October 22, 2005

Office Again!

สืบเนื่องจากที่ post ไปคราวก่อนเรื่องการเขียน paper ว่าทำไมต้อง M$ office ก็ปรากฏว่าต้องทำการแก้กราฟขนานใหญ่เนื่องจากไม่ถูกใจป๋า -_-' แต่ทีนี้ทูนหัวสังเกต ว่า ไฟล์ที่ให้ป๋าไปที่เป็นไฟล์ PowerPoint (ทำกราฟใหญ่ๆ ไปให้ดู) ซึ่งกราฟที่ฝังลงไปนั้นมีคุณสมบัติเป็น picture ธรรมดา หาใช่ Excel object แต่อย่างใด ได้รับการแก้ไขเป็นตัวอย่างกลับมา ก็แปลกใจว่า แก้ได้ไง ??? ก็เอามาดูกัน หุหุ กราฟที่ทำไปและได้รับการแก้กลับมานั้น กลับมาในสภาพเป็น drawing elements ใน powerpoint !!! ทีนี้ถึงบางอ้อเลย ว่าบางทีได้ไฟล์ present ของคนอื่นใน lab group มาดูเนี่ย ทำไมกราฟมันแยกส่วนแปลกๆ วะ ตอนนั้นคิดว่าเขาวาดเอาเองใน powerpoint เลย โง่มานาน -"- (แถมด่าเขาลับหลังไว้เยอะด้วย) ทีนี้ก็ลอง import เข้าไปใน Word ปรากฏว่าสามารถทำได้เช่นเดียวกัน ทีนี้ไม่้ต้องมานั่งปวดศีรษะกับ excel obj แล้วหึหึ งานง่ายขึ้นเยอะ

วิธีทำก็ง่ายๆ
  1. import กราฟ (copy) เข้ามาก่อนโดยเลือกให้ import as picture
  2. คลิกขวาเลือก Edit picture แล้วตอบ OK เมื่อมันถามว่าจะให้เปลี่ยนเป็น drawing object ไหม
  3. แล้วก็ ungroup
  4. แก้ไขแต่ละ element ได้ตามสะดวก
ดูรูปละกัน
blog ไว้กันลืม เพราะต้องทำอีกเยอะ -_-'


According to my last post, I still have to use Office as my authoring tool for my honey's paper so far. After she sent the PowerPoint file of result with charts , her supervisor had many comments on the charts and it's my job to edit them -_-'. I did embed the chart to the PowerPoint slide as picture format not the excel object but surprisingly, my honey did observe that the charts in the return file were edited partly as an example (for me to correct them all). How did he do that!?

So, I have to look at it and see what was happened. The chart was converted to PPT Drawing objercts that were grouped together. After ungroup them, the chart was separated to many lines, boxes and text boxes so that it is quite easy to adjust these chart elements without hassles of excel object. Of course, I did try it in the Word document and it works. And it is the reason that why the charts in other lab group colleagues' presentation slides were strangely dismembered to small elements (I did think that they draw them themselves at the first place -_-", what a very stupid thing).

The steps to achieve this are:
  1. Import (copy) the chart from Excel as picture
  2. Right click at the chart and select "Edit Picture" and OK when PPT ask if it will convert the picture to drawing object
  3. Ungroup them
  4. Edit each element as you wish

Monday, October 17, 2005

เศร้า

วันนี้ได้ผลการสอบ MCQ มาแล้ว ปรากฏว่า Fail ...ก็ไม่สามารถที่จะสอบ step ต่อไปได้

หุหุ ไม่รู้จะรู้สึกกับตัวเองยังไงดี อาจจะอ่านหนังสือน้อยไปหน่อย ที่เจ็บใจก็คือ คะแนนรวมมันผ่าน แต่คำถามที่เป็น Mastery หรือ Critical question (ซึ่งก็คือ เป็นคำถามที่ หากผิดทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือพิการ หรือเสียโอกาสในการรับการรักษาแต่เนิ่นๆ พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคำถามที่หมอในออสเตรเลียควรจะ"ต้อง"รู้) มันต่ำว่าเกณฑ์นิดเดียว ถ้าตอบถูกอีกซัก 2 ข้อ อาจจะ่ผ่านก็ได้

เซ็งชีวิต แต่ก็ต้องสู้ต่อไป อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วไปสอบใหม่ (ค่าสอบก็ไม่ได้ถูกๆ ตอนนี้เสียตังค์ฟรีๆ ไปแล้วเกือบ 5 หมื่น สมน้ำหน้าตัวเองดีไหมเนี่ย)

หึหึ สู้ต่อไปไอ้มดแดง...

Thursday, October 13, 2005

It comes again: New iPod!!

มันมาอีกแล้ว!!! new iPod กระแส nano ยังไม่ทันจาง Apple ก็เปิดตัว iPod ตัวใหม่ (เราจะไม่พูดถึง iMac ซึ่งมันก็ออกใหม่ด้วยนะ) มาด้วยความจุเท่าเดิมคือ 30 กับ 60 GB เพิ่มขนาดหน้าจอดูแบบเหมือน wide screen เป็นขนาด 2.5" พร้อมกับคราวนี้มันเล่น video ได้ด้วย (ไฟล์ quicktime แหละ) บางลงกว่าเดิมและมีสีดำด้วยแบบ nano แต่ราคายังเท่าเดิม เริ่มต้นที่ US$299 ไม่รู้เข้ามาเมืองไืทยมันจะเพิ่มราคาเอาเองหรือเปล่า คงต้องรอดูอีกสักพักกว่ามันจะมาที่ออสเตรเลีย ... ยังไม่ได้ซื้ออะไรทั้งนั้น ไม่มีตังค์... T^T

อูย... จะเป็นทาส Apple เต็มตัวแหล่ว -_-'

ปล. เมื่อไหร่มันจะเล่นไฟล์ ogg ได้ซักทีวะ

Apple has introduced new iPods (with new iMac) yesterday. Now, they come with the same storage sizes (30 and 60 GB) but are thinner and improve the screen size to 2.5" (widescreen) with video playback ability at the same price, start at US$299. It is very passionate for Apple fans. But for me, I'd like to have one of them but I have no money ... T^T...

PS. When does the Apple's iPod play the ogg files? If it can do that, iPod will be the perfect portable media player (it is not only an MP3 player anymore).

Wednesday, October 12, 2005

Where's Med??

เขียนมาหลายตอน ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์เลย อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย -_-'

ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารด้านการแพทย์เลยวุ้ย ความรู้มันจะถอยหลังลงคลองหมดแหล่ว จริงๆ ตามที่รักมา อยู่ Australia ก็อยากจะเรียนอะไรสักอย่างกลับไปเหมือนกัน แต่ไม่ีมีตังค์ ค่าเรียนมันแพง คงต้องสอบ license ให้ได้ ทำงานเป็นหมอสักพัก แล้วค่อยหาเวลาเรียน ที่คิดๆ ไว้ก็คือ Health Informatics หรือ สารสนเทศสุขภาพ (ฝั่งอเมริกาเรียก Medical Informatics, เวชสารสนเทศ) อืมเอาไว้มีอารมณ์เดี๋ยวหาข้อมูลมาลง Blog ดีกว่า หุหุ

ง่วงแล้ว ... ไปนอนละ

ปล. ตอนนี้ไม่มี bilingual นะจ๊ะ

Sunday, October 09, 2005

Tools for paper authoring: Why M$?

ช่วงนี้ต้องมานั่งช่วยงานที่รัก (คราวนี้ใช้สีชมพูแล้วนะ :D) กล่าวคือ ที่รักเป็นนักเรียน PhD และก็ทำวิจัย ช่วงนี้ที่รักก็กำลังจะต้องเขียนรายงานการวิจัยลงวารสาร (หรือที่เรียกว่า Paper นั่นแหละ) คือมันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและวิทยานิพนธ์ (ต่อไปขอเรียกว่า Thesis) พร้อมกับทำ Lab ของ Thesis ชิ้นต่อไป เธอต้องไปพบกับ"ป๋า" (เรียกด้วยความเคารพครับ แต่เจ้าตัวไม่รู้หรอก) หรือ Supervisor อาทิตย์ละครั้งถึง 2 ครั้ง (ผมก็ไปด้วย) เพื่อเอา paper ที่พยายามเขียนขึ้นมาไปให้ตรวจและแก้ไข

เรื่องก็คือว่าใน Paper นี้อุดมไปด้วยกราฟผลการทดลอง และรูปที่ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเครื่องมือที่ใช้ในการนิพนธ์ paper ชิ้นนี้ก็คือ M$ Office (ที่คุณก็รู้ว่าได้มายังไง) นั่นเอง ซึ่งใครที่เคยจัดหน้าเอกสารด้วย Office มาก็คงรู้ว่ามันสร้างความหัวเสียให้มากแค่ไหน กับความฉลาดเกินไปของมัน ทีนี้คือ ป๋า ก็ใช้ Office 2003 (University license) ในการทำงาน ตรวจทานและแก้ไขด้วยเหมือนกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่า แล้ว format ที่จะต้องส่งให้กับทางวารสารมันเป็น .doc ด้วยหรือเปล่า แต่ยังไงๆ ตอนนี้ก็ต้องใช้มันไปก่อน -_-' เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้า Linux

ที่รักต้องการให้ ฝัง chart object ลงไปในเอกสารด้วยเหตุผลที่ว่ามันสามารถแก้ได้เลย (แต่ตอนแก้มันไม่ update ไฟล์ต้นฉบับให้ด้วยหวะ หรือกลับกัน) โอเค, ทำให้เพราะเผื่อส่งไฟล์ให้ป๋าจะได้ไม่ต้องส่งไปหลายไฟล์เดี๋ยวป๋าหาไม่เจอ แล้วหัวเสีย แต่ทีนี้ก็จะมีเรื่องให้แก้กราฟตลอดทั้งความผิดผมเอง (ใส่ค่าผิด) ทั้งป๋าสั่งให้เปลี่ยนหรือเพิ่ม ทั้งที่รักไม่พอใจแล้วให้เปลี่ยน กราฟที่จะต้องใส่ลงไปนี้เป็นกราฟที่ต้องใส่ค่านัยสำคัญทางสถิติไปด้วย ดังนั้นไม่ได้มีแค่กราฟ แต่จะมี text และ object ต่างๆ อยู่ในกราฟด้วย พอถึงเวลาแก้กราฟ เอาล่ะสิ! ตัวสัญลักษณ์เบี้ยว, error bar หาย, scale เปลี่ยน, แก้เสร็จ dimesion (กว้าง x ยาว) เปลี่ยน (object ที่ import เข้ามามัน fix ขนาดไม่ได้ไม่รู้ทำไม) จัดใหม่ โว้ย! เบี้ยวอีกแล้ว T-T... เอ้าจัดเข้าที่ได้เรียบร้อย พอ print เบี้ยวอีก ที่สำคัญ เป็นทุกครั้งที่แก้กราฟ ตอนนี้ดีหน่อยที่แยกส่วน text กับ figure ออกจากกัน แต่ก็ยังมีปัญหาทำให้อารมณ์เสียอยู่ดีและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอิดออดไม่ค่อย อยากทำงานให้ที่รัก (หาข้ออ้าง.. หุหุ) แต่มันก็ไม่มีวิธีแก้ (หรือผมหาไม่เจอ) บางทีรู้สึกว่า import เข้ามาเป็นรูปแล้วพอมีปัญหาก็ไปแก้กราฟ แล้ว import อีกทียังรู้สึกไม่หัวเสียเท่านี้เลย (ความรู้สึกส่วนตัว)

เอาหล่ะ บ่นมามากเรื่องของเรื่องก็คือ อยากมีเครื่องมือที่มันสามารถทำงานแบบนี้ได้ง่ายๆ หน่อย แบบให้เรามีสมาธิกับการเขียนเนี้อหา โดยไม่ต้องมายุ่งเรื่องจัดหน้าแบบนี้ T-T มีเครื่องมือในการแก้ไขกราฟหรือรูปโดยที่มัน fix ขนาด จัดแล้วจัดเลยไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีก หรือมี format ให้เลือกน้อยๆ ปรับได้นิดหน่อยจะได้เหมือนๆ กันให้หมด (ข้อเสียของการยืดหยุ่นเกินไป) ถ้าจะให้ดีควรมี format กลางสำหรับสิ่งพิมพ์สำหรับวารสารไปเลย ให้เป็น Open format นะ แต่แบบ LaTeX (ดู presentation ของคุณเทพละกัน) มันก็ command ไปหน่อย learning curve สูง จะบอกให้ใครๆ มาใช้ไอ้นี่รวมทั้งที่รักด้วยมีหวังไม่ยอม, OO.o ก็ยังไม่สมบูรณ์ ลองพยายามทำกราฟใน calc แบบ excel ก็ไม่ไหวแล้ว เท่าที่ลองตอนนี้ก็คือ โปรแกรมพวก DTP แบบ Scribus เนี่ยแหละรู้สึกดีที่สุดถึงต้องจัดหน้าเอง แต่ไม่อารมณ์เสีย (ยกเว้น Segfault เป็นระยะๆ) พิมพ์เป็น PDF ก็ได้ แต่ก็อีกแหละ มันไม่มีใครใช้นี่หว่า ไหง Format ในการส่งงานถึงต้องเป็น .doc ด้วยนะ ใครมีอะไรดีๆ ก็แนะนำหน่อยครับ

ขอจบดื้อๆ แบบนี้เลยละกัน


My honey is a PhD student preparing to publish a paper of her project. It is a part of her PhD program and thesis having to be accomplished. She has to see her supervisor once or twice a week (with me) to get the paper to be examined and edited. Okay, I have to help her in some kinds of work such as creating the chart, running the statistic, etc...

This paper is full of charts (with statistical marking) and pics taken from microscope. The tool used to author this paper, guess it!, yes, is M$ Office (you may know that how can I obtain it!). Almost everyone who's ever used this program to lay out the documents knows about difficulty to accomplish the work due to "its smartness". The problem is that her supervisor (maybe everybody in the University) uses Office 2003 (University license) to do his work and edit this paper. I don't know what is the file format used by journal publisher. Is it ".doc" file?

My honey wants the chart objects (from excel) to be embedded to the Word document with the reason that it may be easy to edit the charts in the document (but when I edited them the original were not updated or vice versa). Okay, I do that due to convenience of her supervisor to look at only 1 file. After that, there are some reasons to edit them frequently including my mistakes (wrong entry), her supervisor comments and her desires. These charts are not only plain bar geaphs or line graphs but also include many texts and objects because it have to display the significant level of the result. When I edit them, I found so many problems that upset me like displaced symbols, missing error bar, altered scale, altered dimension after edited (I don't know why imported objects like chart object can't be size fixed). I have to correct them again and again as well as correct the text lay out T-T. The point is that they behave like this everytime I do. Now, it is better because of text and figure separation. However, I still am upset when the graphs have to be edited.

In conclusion, I want a (or more than one) program(s) that let us concentrate to the content of the paper not the page layout. It should have some tools to create, edit and manage charts and figures including bibliography (or citation) management. It should not have so many options or formats so that users will be confused and use most of their time to adjust these options. An idea of central format for paper publishing so that everybody who wants to publish his or her works has to use it is very good and should be an open format. I have researched many open source programs and no one meet these requirements. One of the examples, LaTeX, the typesetter, is quite hard to use due to its syntax and commands and has high learning curve. I can't convince my honey or anyone to use this. OO.o is not completed yet; I try to create a graph using calc but it can't be compared to excel. This time, the best one is Scribus, the DTP software. Although I have to lay the page out myself, this program provides very good tools that is easy to use and does not upset me while working (except some segfaults) and can print out to PDF. But no one uses this program T-T.

Thanks for reading.

Monday, October 03, 2005

Wireless: Linux > Windows ??

หลังจากใช้ wireless มาได้สักพัก ก็รู้สึกว่ามันโคตรสะดวกเลย ทั้งที่ที่อยู่ตอนนี้ก็เป็นแค่ unit เล็กๆ 2 ห้องนอน ห่างกันไม่มาก (ตั้งแต่ที่อยู่ของ router จนถึงสุดบ้านก็แค่ 10 - 15 m) แต่หลังจากพูดเรื่อง wireless ให้ที่รักฟัง ที่รักก็เกิดอยากใช้ wireless ขึ้นมา เพราะที่รักชอบทำงานในห้องนอน และไม่ต้องการเดินสายให้มันยุ่ง ผลก็คือ หลังจากติด ADSL ของ Optus (มาพร้อม Custom made D-link modem, AU$90) ก็ไปซื้อ wireless router ของ SMC รุ่น SMC2804WRP-G 54Mbps พร้อม print server (แต่ดันใช้กับ printer ของ lexmark ไม่ได้ -_-') และ PCMCIA ของ SMC มาอีกอัน ต่อมาก็มีคนมาขาย wireless PCMCIA ของ netgear WG511v2 (TAIWAN) มาให้อีก (ใช้มา3 อาทิตย์ลดให้ครึ่งราคาเลย, $30 หุหุ) ก็เลยได้ใช้ wireless ทั้ง 2 เครื่อง แน่นอนก็ต้องจัดการ set บน "หน้าต่าง"ก่อน ไม่มีปัญหา เห็นกันได้ ก็มาจัดการตั้งการใช้งานบน Linux ต่อตามกระทู้นี้ที่เขียนไว้ที่ thailinuxcafe.com ก็เรียบร้อยดี แต่มีปัญหา insert module ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ได้

อารัมภบทมาซะนานที่ต้องการจะเขียนจริงๆ ก็คือว่า สังเกตการใช้งาน wireless ทั้งบน Windows และบน Linux (Yoper) แล้ว ทำไมบน Linux ดูเหมือนจะรับสัญญาณได้ดีกว่าฟระ ทั้งๆ ที่ก็ใช้เครื่องเดียวกัน wireless ก็อันเดียวกัน ไดรเวอร์ก็อันเดียวกันอีกต่างหาก (ndis + ndiswrapper) ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่า ถ้ายก laptop เข้าห้องนอน ซึ่งมีกำแพงกั้น 2 ชั้น บน Windows เนี่ย สัญญาณจะเหลือ ~ low หรือลงไป very low บางทีหลุดเลยด้วยซ้ำ แต่บน Linux ดูด้วย iwconfig แล้ว หรือรวมทั้ง kwifimanager ด้วยก็ปรากฎว่า Link Quality อยู่ที่ 90-100 ทั้งในห้องนอนและที่อื่นๆ ในบ้าน ที่สำคัญ ไม่เคยหลุด (จริงๆ แล้วมันอันเดียวกันหรือเปล่าหว่า จะดู signal level ก็ดูไม่เป็น o_O? เพราะใน windows มันไม่ยอมบอกเป็น dBm เลยเทียบไม่ได้, เอ๊ะ หรือเราหาไม่เจอเองหว่า-_-') อืมยิ่งไปอ่านกระทู้ที่ LTN (link อยู่ข้างๆ) ของ อ.สุพัตร ที่แกจะทำ perfect wireless อะไรของแกเนี่ยก็ยิ่งรู้สึกลำเอียงต่อไปอีกว่า wireless module / kernel บน Windows มัน lock อะไรไว้ป่าววะ จริงๆ แบบตัว hardware สามารถทำอะไรได้เยอะ แต่โดนปิดกั้นด้วย driver/module/kernel หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่บน linux เปิดหมดโหะๆ LINUX RULEZ!!!


ปล. ตอนนี้ไม่อยากเขียน bilingual ถ้ามีอารมณ์อาจจะมาเขียนนะคะ โหะๆ
ปล๒. รูป tuxwifi โดยผมเอง, Tux --> mascot of Linux (tm of Linus Torvalds), kwifimanager artpack (by mart) ที่มาของเสาอากาศบนหัว Tux, ทำด้วย GIMP 2.2.8, GPL เชิญเอาไปใช้ตามสบาย

Thursday, September 29, 2005

แก้ Template

หลังจากรำคาญกับการที่ดู Blog ตัวเองใน linux แล้วมันดันแสดงผลด้วย fixed font ก็คือ TlwgMono แต่ใน Windows กลับไม่มีปัญหานี้ ก็เลยลองๆ ไล่ code ของ template ดูก็เห็นว่ามี code ที่เกี่ยวกับ Font อยู่ก็คือตรง
font:x-small/1.5em "Trebuchet MS",Verdana,Arial,Sans-serif
ใน Style Sheet ของ body แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง เปิดอ่าน blog คนอื่นก็ดูเหมือนๆ กัน แต่บังเอิญไปเปิด บล็อกของคุณเทพเข้า เห็นว่า เฮ้ย มันแสดงผลเป็น font อื่นได้นี่หว่า ก็เลยเปิดดู source เห็นว่ามีการใส่ option Font family เข้าไป อืม... น่าสน เราก็เลยก็อปบรรทัดนี้ออกมาแล้วก็จัดการใส่ loma กับ tahoma เพิ่มเข้าไปแบบนี้
font-family: Loma, "trebuchet ms", tahoma, trebuchet, verdana, sans-serif;

แล้วจัดการ comment บรรทัดข้างบนซะ ลอง Preview ดู เฮ้ย สำเร็จแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย จะได้ไม่ต้องปวดตาเวลาอ่าน Blog ตัวเองด้วย linux ...

======================================
I am annoyed when reading my own blog under Linux because it uses Thai fixed font (TlwgMono). I tried to find out how to change the font in template but there was no luck. I found something in the code that seems to relate to font control like this:
font:x-small/1.5em "Trebuchet MS",Verdana,Arial,Sans-serif

in the body style sheet but I don't know how to change or add the font. Until I found คุณเทพ's blog. His blog displays font other than TlwgMono, so there're some ways to accomplish this in the source. After look at the code, I found that there's 'font-family' option controlling the font display. So, I add this option with some font names -- Loma and Tahoma, and comment the above line using '/* */' like this:
/*font:x-small/1.5em "Trebuchet MS",Verdana,Arial,Sans-serif*/
font-family: Loma, "trebuchet ms", tahoma, trebuchet, verdana, sans-serif;
And click Preview. YES! it works... ;D

Monday, September 26, 2005

มิโสะอุด้ง

หุหุ วันนี้ออกไปชอปอาหารมาตุนไว้ ซื้อ มิโสะ หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นมาด้วย แล้วก็ทำกับข้าวกินเอง (จริงๆ ก็ทำกินเองทุกวันนั่นแหละ) ร่วมกับของที่ยังมีเหลือในตู้เย็นจากอาทิตย์ที่แล้วได้แก่
  • หมูสันใน 1 เส้น แช่ไว้ในช่อง freezer แข็งโป๊ก ประมาณฟาดหัวแบะได้แทนไม้หน้าสาม เอามาหั่นบางๆ ดูแล้วเหมือนหมูของ Bar-B-Q Plaza
  • เส้นอุด้ง ซื้อมา 2 อาทิตย์แล้ว -_-'
  • กะหล่ำปลี ประมาณ 3 - 4 ใบ แล้วหั่นฝอย
  • หอมใหญ่หั่น ไม่ต้องมาก ประมาณกำมือนึง
  • ซอส Kikkoman นิดหน่อย
แล้วตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พร้อมกับต้มน้ำใส่หม้อกับกาเอาไว้ทำซุปกับลวกเส้นอุด้ง

พอ น้ำมันร้อนได้ที่เอาหมูสันในที่หั่นไว้ลงกระทะ เหยาะซอสลงไปหน่อย โรยพริกไทย กับงา ผัดจนหมูเริ่มออกสีน้ำตาลแล้วก็ใส่หอมใหญ่ลงไป ผัดจนดูท่าว่าจะนิ่มๆ ก็โยนกะหล่ำปลีที่ซอยเอาไว้ลงไป พอผักเริ่มจะเหี่ยวๆ แล้วก็เอาช้อนตักมิโสะเต็มๆ ช้อนใส่เข้าไปอีก ยีให้มันละลาย ระหว่างนั้น น้ำที่ต้มไว้ในหม้อเดือดก็เทไอ้ที่ผัดไว้ลงหม้อ เคี่ยวต่อไป อืมมม หอมมม

ที นี้เราก็แกะห่ออุด้งมาใส่ชามไว้ แล้วเอาน้ำร้อนราดให้มันกระจายเส้น พอเส้นเริ่มนุ่มๆ ก็เทน้ำออก สะบัดให้แห้งๆ แล้วโยนลงหม้อ... ต้มไปอีกสัก 3 นาที ยกมาเทใส่ชาม กินร้อนๆ ... ลวกปากหว่ะ -_-'

อืมเสร็จไปอีกมื้อ :D
ปล. ไม่รู้จะเขียน Bilingual ไปได้อีกนานแค่ไหน ชักขี้เกียจ -_-']
=======================================
Miso Udon...

Today I went shopping and bought many food including a bag of miso paste. So I used it combining with stuffs in my fridge like this:

ingredients:
  • Pork fillet, bought last week, has been kept in the freezer and is very hard so that it can be used as a baseball bat -_-'. OK, slice it to very thin pieces.
  • Udon noodle, bought 2 weeks ago
  • 3 - 4 leaves of cabbage, slice it finely
  • Around a handful of sliced onion
  • Kikkoman soy sauce
Cook...
Pour a good amount of vegetable oil to the pan or wok. Simultaneously, boil the water in both saucepan and kettle for making soup and poaching the noodle.

When the oil is hot, throw the pork in and fry it until brown, season it with pepper and kikkoman sauce. Then throw in the sliced onion and sliced cabbage. When the vegie becomes cooked, add a good tablespoon of miso and stir until it is solved.

When water is boiled, add the mix in the pan to the saucepan and simmer. At that time, poach the udon noodle until it separates and is soft. Drain the noodle well and throw it to the saucepan. Simmer for 3 minutes and serve. .... Hmmm, smell good!

Friday, September 23, 2005

อยากได้ iPod โว้ย


ไม่อยากเชื่อเลยแฮะว่า เราจะบ้า Apple เหมือนกัน ผลิตภัณฑ์ของ Apple เนี่ย อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด ตอนนี้กำลังอยากได้ iPod nano อ่ะ ทั้งๆ ที่ดู spec เทียบกับเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ อย่าง iriver หรือ creative Zen หรือ Samsung ก็ไม่ได้ดีกว่าอะไรเลย ไม่มีวิทยุ (แต่แก้ได้ด้วย podcast) เล่นไฟล์ ogg ก็ไม่ได้ อัดเสียงก็ไม่ได้ มีดีคือเท่ห์อย่างเดียว -_-' แต่ทำไมอยากได้ขนาดนี้ ลองพยายามคิดเทียบ spec บอกตัวเองแล้วบอกอีก แต่รู้สึกเหมือนหลอกตัวเองอยู่ ตูเป็นอะไรไปฟระเนี่ย อยากได้ขนาดไหน ตอนนี้เปิดเว็บ Apple ทุกวัน แล้วก็ดูราคา อยู่นั่นแหละ สงสัยเหมือนกันว่า ถ้าได้มาแล้วจะมีอาการเป็นไงต่อ

ที่ Australia เนี่ย iPod ก็ฮิตตามแบบประเทศตะวันตกทั่วไปแต่ไม่มี ipod music store Australia แฮะ เวลามองคนอื่นใช้ iPod ไม่ว่าจะเป็นตัวใหญ่ หรือ mini (nano ยังไม่มีให้เห็นแฮะที่นี่) มันรู้สึกอยากได้ตงิดๆ จนเกือบจะกลายเป็น obsession ไปแล้ว

แต่ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ มันพาลอยากได้ products อื่นๆ ของ apple ไปด้วย เห็น iMac ก็สวย เห็น Mac mini ก็อยากได้ เพราะราคาดูน่าสนใจ อยากลองใช้ Mac มานานแล้ว ไม่มีโอกาส เพราะทุนทรัพย์ไม่เอื้ออำนวย -_-'

จบดีก่า
----------------------------------------------------------
iPod Obsession...

I've never had any idea before that Apple's products will have a tremendous enfluence on me like this . They obsess my thought now, especially with iPod nano. Every Apple's product is very lovely and slick so that many people can't stand to own it. I did compare the spec between many MP3 players and Apple's iPod is not the best one. It has no radio, which Apple says that "you can use podcast instead", cannot play many file format including opensource format such as ogg, no recording function and maybe its advantage is only "so slick" -_-' . However, I feel that I am tricking myself not to pay attention to the iPod, MY GOD!!! I try to ignore this thought but it becomes my obsession instead. I have to look at Apple' web site checking the price everyday. I wonder what will happen if I can get one.

In Australia, like in other western country, iPod is very popular either the regular one or iPod mini but how strange that there is no Aussie iTune music store. When I saw people use their iPod, I feel a little envy to them... -_-'

It's not only that!! Not only iPod, but also other Apple's products that I would like to "USE" them including iMac, Mac mini, etc... Maybe because I was impressed by MacOS long time ago and feel that it is something that "Think out of the box" and I'm a person that would like to do something like that.

....

Start my blog

เริ่ม Blog เริ่ม Blog

ฝากตัวด้วยนะคร้าบ หวังว่าคงจะมีแรงมา post อะไรๆ มีประโยชน์กับวงการบ้าง
จั่วหัวเอาไว้ว่า Med and Tech เหอะๆ หวังว่าคงจะไม่เหลือแต่เรื่อง Tech นะ -_-' (กลัวๆ เหมือนกัน)

จริงๆ blog ก็มีประโยชน์ในการบันทึกอะไรๆ ที่เราทำไว้ กันลืม ก็ดีเหมือนกันแฮะ

เดี๋ยวไปเอาที่เขียนๆ ไว้ที่ Thailinuxcafe.com board มาแปะไว้ที่นี่มั่งดีหว่า กันลืม + หาไม่เจอ

ปล. วันก่อนเข้า webboard Yoper เจออะไรจี้ๆ ดี สำหรับคนชอบ Star Wars + อาหารปลอดสารพิษ เหอะๆ คลิกโลด Store Wars
:D
===================================
Bilingual :D

Start blogging...

This is my first blog. After reading many people's blogs, I'd like to start my own web logging. I use description for my blog as "Med and Tech", I mean so, hoping that it will not be reduced to "Tech" only -_-'. Anyway, I try my best to log everything that is useful for tech and med, alright?

PS. I read the Yoper webboard yesterday and found something funny. If you like Star Wars and organic food, please find the link on the upper part of this post ;D