Wednesday, December 27, 2006

Damage...

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่น Linux เท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีอะไรเขียน (ทิ้งเครื่องที่ลงลินุกซ์ไว้ที่ออสเตรเลีย) เลยขอเขียนบันทึกไว้อ่านเล่นๆ ละกัน

ตั้งแต่กลับมาก็ตามหาตามซื้อ DVD เป็นบ้าเป็นหลัง เพราะตอนที่อยู่ออสเตรเลีย หนังอะไรก็ไม่ค่อยได้ดู ถึงโหลดบิตมาดูบ้างก็แค่นั้น ยังไงๆ ก็จะซื้อ DVD อยู่ดี ฮ่า! อีกอย่างคือ DVD ที่นู่นก็ค่อนข้างแพง เรื่องออกใหม่ๆ ปาเข้าไปเป็นพัน (ส่วนเรื่องเก่าๆ เอามาขายลดราคาแบบ 2 เรื่องควบ 500) แถมยังเป็น Zone 4 อีก (เครื่องเล่น DVD ที่เอาไปด้วยอ่านได้แต่ Zone 3 กะ free zone T_T) ไดรฟก็เจ๊ง เฮ่อ... พอกลับมาก็ได้ฤกษ์ตามเก็บหนังที่ติดตามอยู่ รวมกับ CD อีกนิดหน่อยดังนี้

    DVDs
    • Harry Potter and The Goblet of Fire 2 Discs Special Edition, 350 กว่าบาท
    • Kamen Rider The First, 300 กว่าบาทเหมือนกัน
    • Kamen Rider Hibiki and the 7 Oni Warriors (Kamen Rider Hibiki to Shichinin no Zenki), 249 บาท - อันนี้เคยโหลด Director's cut มาดู ปรากฏว่าไอ้ที่ฉายนี่ตัดออกไปเยอะเหมือนกันแฮะ :P
    • Final Fantasy VII - Advent Children, 239 บาท - Action สุดยอด ยังกะ Dragon Ball แน่ะ นอกนั้นก็ Tifa อกโตจัง :D (เกมนี้ไม่เคยเล่น)

    CDs
    • Evanescence - The Open Door, 350 มั้ง ออสเตรเลียขายตั้ง AU$21
    • Beethoven: Symphony Nos. 5 & 8, Berlin Philharmonic, Conducted by Karajan, 420 บาท


นอกจากนี้ยังกะว่าจะตาม T-Square กับเก็บ Kamen Rider Faiz ที่เหลืออีก 12 แผ่น (เนื่องจากปีที่แล้วซื้อไว้ 2 แผ่น แต่แผ่นที่ 2 หายไปไหนไม่รู้หาไม่เจอ แผ่นละ 230 T_T) แต่ต้องพักๆ ไว้ก่อน เผื่อปีหน้าจะลดราคา (หรือจะหมดหว่า ไว้คิดดูอีกทีว่าจะซื้อหรือเปล่า :P) อีกอันคือ Garo ก็น่าสนใจแฮะ

สิริรวมเสียหายไปหลายพันเหมือนกันนะเนี่ย T_T (มีแต่ Kamen Rider ทั้งนั้นเลย)

Saturday, December 23, 2006

First blogging in Thailand (season 2)

Alright, this is the first blog entry after coming back home. This year, I came back to Thailand by Thai International from Melbourne to Suvannabhumi Airport. The airport looks great! But, at the same time, it seems that the construction has not been completed yet. The poles, walls and many things have not been painted (maybe, this is an intention of the architect who designed this place). Furthermore, I heard some bad things regarding luggage transport system that some passengers had to wait for their luggages for more than 16 hours. That scared me! Everything seemed OK, though. I could retrieve my luggages with no hassles, in fact, it's even faster than in Don Mueng :).

Except goods and petrol prices (which something have the same price as in Australia :P) and the government, nothing has been changed.

Welcome home...



บล็อกแรกในประเทศไทย (ปี 2) กลับมาได้สักพักแล้ว ประเทศไทยไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยน นอกจาก ราคาข้าวของ, น้ำมัน แล้วก็รัฐบาล กลับมาคราวนี้เปลี่ยนไปหน่อยตรงต้องไปลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก็ดูดีนะ สวย แต่ดูไปดูมาเหมือนกับยังทำไม่เสร็จ เสาและกำแพงกับอีกหลายๆ อย่างยังไม่ได้ทาสี (หรือว่าเป็นความตั้งใจของสถาปนิกหว่า?) นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงร่ำลือเกี่ยวกับการขนส่งกระเป๋าอีก ว่าตอนเปิดใหม่ๆ บางคนต้องรอกระเป๋า 16 ชั่วโมง แต่มาคราวนี้ก็ดี เอากระเป๋าได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ รู้สึกเร็วกว่าที่ดอนเมืองอีกมั้ง บล็อกนี้เอาสั้นๆ ก่อน เดี๋ยวนึกอะไรได้มาเขียนต่อ

ยินดีต้อนรับ(ตัวเอง)กลับบ้าน :)

Saturday, December 09, 2006

History?

History is not facts. It's about contextual, and depends on who's telling the story.

--From Smallville--


What do you think?

Tuesday, November 28, 2006

1000 Words

I know it's quite old for this song and music video from Final Fantasy X-2 (I've never played this game.) But I've just discovered that it's melting my heart. I think it's far better than 'Eyes on me' of Final Fantasy VIII. :) The good thing is that it's available on iTS Japan; the bad thing is that it's not available on iTS Australia :( ... So, Apple couldn't get my money again.




1000 Words

-=Sweetbox=-

I know that you're hiding things
Using gentle words to shelter me
Your words were like a dream
But dreams could never fool me
Not that easily

I acted so distant then
Didn't say goodbye before you left
But I was listening
You'll fight your battles far from me
Far too easily

"Save your tears cause I'll come back"
I could hear that you whispered as you walked through that door
But still I swore to hide the pain
When I turn back the pages
Shouting might have been the answer
What if I'd cried my eyes out and begged you not to depart
But now I'm not afraid to say what's in my heart

Though a thousand words
Have never been spoken
They'll fly to you
Crossing over the time and distance holding you
Suspended on silver wings

And a thousand words
One thousand confessions
Will cradle you
Making all of the pain you feel seem far away
They'll hold you forever

The dream isn't over yet
Though I often say I can't forget
I still relieve that day
"You've been there with me all the way"
I still hear you say

"Wait for me I'll write you letters"
I could see how you stammered with your eyes to the floor
But still I swore to hide the doubt
When I turn back the pages
Anger might have been the answer
What if I'd hung my head and said that I couldn't wait
But now I'm strong enough to know it's not too late

Cause a thousand words
Call out through the ages
They'll fly to you
Even though I can't see I know they're reaching you
Suspended on silver wings

Oh a thousand words
One thousand embraces
Will cradle you
Making all of your weary days seem far away
They'll hold you forever

Oh a thousand words
Have never been spoken
They'll fly to you
They'll carry you home and back into my arms
Suspended on silver wings ohhh

And a thousand words
Call out through the ages
They'll cradle you
Turning all of the lonely years to only days
They'll hold you forever

Oh... a thousand words...

Thursday, November 16, 2006

Vision?

"With open source, there is no intellectual property. Anyone can use it and all your ideas become public domain. If nobody can make money from it, there will be no development and open source software quickly become outdated."

--Dr Sitthichai, Minister of Ministry of ICT--
Bangkok Post


I know that you're a programmer but you know nothing regarding opensource.

Nothing to say... -_-'

Please look here.

Update:

It seems that everything is resolved without a hitch after opensource people went to see the minister. He admitted that he did not know much regarding opensource. And now he knows and is willing to support opensource, including OLPC (Children machine).

You can see some details here

Thursday, November 09, 2006

เปาบุ้นจิ้น - เดกะเรนเจอร์: ปลูกฝังความรุนแรง (Are you an idiot!?)

ไม่ได้เขียนบล็อกภาษาไทยนานแล้ว วันนี้ขอหน่อย เพราะนึกภาษาอังกฤษไม่ออก (ถ้าฟิตมากพอจะเขียนเป็น bilingual ให้)

เมื่อวานเล่นเว็บบอร์ดประจำที่นึง พลันไปเห็นกระทู้เกี่ยวกับซีรีส์ทีวี 2 เรื่องที่กำลังฉายอยู่ คือเปาบุ้นจิ้นและเดกะเรนเจอร์ ถูกวิจารณ์จากคนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์ เพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอะไรไม่ทราบ หรือว่าเป็น NGO ก็ไม่รู้ เนื้อหาประมาณว่า

หวั่น "เปาบุ้นจิ้น"-"เดกะเรนเจอร์"ชอบประหารชีวิต เกรงส่งผลสะสมความรุนแรงให้เด็ก บ่มนิสัยต่อไปคนเลวต้องตายสถานเดียว


ไม่อยากเอามาลงทั้งหมด เพราะมันยาว ขอเชิญติดตามอ่านข้อความทั้งหมด ที่นี่ ก็แล้วกัน หรือไม่งั้นยังมีคน quote ข้อความเหล่านี้ลงไปในกระทู้พันทิพ ห้องเฉลิมไทย ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำอีกด้วย

หลังจากอ่านดูแล้วความรู้สึกแรกก็คือ "ท่านเอาอะไรคิดครับเนี่ย อยากให้ผมช่วยเจาะเอาน้ำที่ขังอยู่ในอวัยวะที่ท่านใช้คิดออกมาให้หน่อยมั้ย เผื่อว่าอาจจะมีความคิดมากกว่านี้อีกหน่อย" ไม่รู้ว่าเคยได้ติดตามซีรีส์เหล่านี้จนจบหรือเปล่า เปาบุ้นจิ้นเนี่ยเอามาฉายเมืองไทยซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นรอบที่สี่แล้ว (อย่างน้อยผมก็ดูมาแล้ว 2 รอบล่ะ)

ถ้าว่ากันแล้ว ทั้งสองเรื่องเน้นกันที่ ความยุติธรรม ผิดว่ากันตามผิด ถูกว่ากันตามถูก ไม่มีแพะ แต่ละคน (ตัว, ตน) ที่โดนคำสั่งประหารในเรื่องล้วนแล้วแต่ทำความผิดขั้นอุกฉกรรจ์ทั้งสิ้น

เปาบุ้นจิ้นเองตัดสินความตามกฎหมาย และพยานหลักฐาน ผู้กระทำความผิดล้วนดิ้นไม่หลุดทั้งสิ้น ขนาดเป็นแพะมา ท่านยังสังเกตได้แล้วก็ไปลากเอาตัวคนทำความผิดจริงๆ มาเข้าเครื่องประหารได้เลย แถมยังมีการแจ้งข้อหา และให้คติสอนใจอีกมากมาย นอกจากนี้ยังไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ยิ่งใหญ่มาจากไหนถ้าทำความผิดจริงๆ ก็ตัดสินไปตามนั้น ไม่เหมือนบางประเทศ ทำความผิดมากมายก็เอาเงิน+อิทธิพลยัด หลุดมาได้

ส่วนเดกะเรนเจอร์นั้นเป็นตำรวจอวกาศ และไม่ได้มีหน้าที่ในการตัดสิน "ประหาร" หากแต่ว่าเป็น "ศาลสูงสุดแห่งจักรวาล" ต่างหากที่เป็นผู้ตัดสิน ตามพยานหลักฐานและกฎหมายเช่นกัน หากศาลไม่ให้ประหาร ก็ทำได้แค่จับกุมตามบทกำหนดโทษ แถมตัวร้ายแต่ละตัว มีความผิดขนาด ทำลายดาวเคราะห์ ยึดดาวเคราะห์ ฆ่าพลเมือง จะยึดครองโลก ฯลฯ สมควร Delete หรือไม่ให้คิดเอาเอง

เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นการปลูกฝังให้เด็ก "ไม่กล้ากระทำความผิด" ไม่ใช่หรือ หรืออาจจะทำให้โตขึ้นมาอยากเป็นนักกฎหมายเพื่อรับใช้บ้านเมืองและปลูกฝังความรักในความยุติธรรมเข้าไปไม่ใช่เหรอ

เมื่อเทียบกับละครหลังข่าวหลายๆ เรื่องที่ พระเอกข่มขืนนางเอก นางร้ายกรี๊ด จ้างด่า จ้างตบ จ้างวานฆ่า แล้วก็ลอยนวล เหมือนกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ปลูกฝังให้เยาวชนรู้ว่า ถ้าตูมีอิทธิพลเมื่อไหร่ ใครก็ทำอะไรตูไม่ได้ บิดาใหญ่ซะอย่าง...

หรือจะว่ากันถึงวรรณคดีไทยเลยก็ได้ แต่ละเรื่องสอนดีๆ กันทั้งนั้น (มองในแง่ร้ายไว้ก่อน แบบคุณ ผอ. น่ะเป็นไงล่ะ เจอมาจากพันทิพ) แบนเลยดีมั้ย
  • รามเกียรติ์
    • ส่งเสริมการทำสงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีปัญหากับทศกัณฑ์ตนเดียว สุดท้ายฆ่ายักษ์หมดลงกาเลย ทำไมไม่เอาทศกัณฑ์มาขึ้นศาลล่ะ ซัดดัมยังได้ขึ้นศาลเลย (แต่ดูเหมือนโดนประหารเหมือนกัน)
    • ทศกัณฑ์ - กะเอาลูกตัวเอง (เพราะไม่รู้ แต่ก็ฉุดก่อนละวะ)
    • พระลักษณ์ - ใช้ศาลเตี้ยตัดสินนางยักษ์ที่เข้าหาพระราม ด้วยการตัดจมูกทิ้ง
  • ขุนแผน - เอาผู้หญิงไปทั่ว แถมยังปล้ำผู้หญิงทั้งผ้าเหลือง
  • ขุนช้าง - เจ้าเล่ห์ หักหลังเพื่อน (ขุนแผนเป็นเพื่อนรึเปล่า) -- แก้ไขลบมักมากในกามออก ตามม่อน
  • พระอภัยฯ - มีชู้ (นางเงือก) แล้วฆ่าเมียตัวเอง (นางผีเสื้อ)


แค่อยากจะบอกว่า ถ้าไม่รู้ให้ถามได้ แต่อย่าออกมาแสดงความเห็นที่แสดงความโง่มากถึงขนาดนี้ ถ้าไม่พูดคงไม่มีใครว่าโง่หรอกครับ หรือว่าอยากดังทางลัด เลยต้องออกมาพูดแบบนี้ เดี๋ยวคนจะจำชื่อไม่ได้ หรือว่ารับเรื่องการตัดสินด้วยความยุติธรรมไม่ได้ มันแทงใจ กลัวโดนเครื่องประหารหัวสุนัข...

จบแบบเดือดๆ (ฮึ่ม)

Tuesday, November 07, 2006

Tapioca: the answer for GTalk voice call on Linux

If there're things that stick me to Windows, one of them would be Google Talk (GTalk). I use it as my primary instant messenger as well as a PC-to-PC phone to call my home in Thailand.

Why don't I use Skype?
Firstly,I feel that GTalk provides better both quality and integrity of voice call than Skype (it's subjective; my feeling). Secondly, its interface is quite simple and minimal, compared to Yahoo or Skype, so that my family members can familiar with it quickly. Their computing skills are below average, so letting them face something that is confusing is not a good idea.

For instant messaging, I use Kopete, a multiprotocol messenger for KDE, but it cannot be used as a voice call client. So I have to google around and found Tapioca Project. It uses Jabber protocol plus libjingle, released by google, to make voice calls with GTalk. In fact, Kopete has an experimental feature that can make voice calls to GTalk using libjingle as well but it doesn't work for me. Also, it can crash Kopete itself when using voice call.

Tapioca comes with GTK interface, tapiocaui, which is very simple, too simple! It has only login, contact and chat windows (with voice call function). There are no configuration options, account management and avatar support. However, if you don't like tapiocaui, there is an alternative UI for Tapioca, named Landell. It is written in C# and requires Mono to run. It has far more flexible user interface than tapiocaui plus account manager and avatar support. However, it can't be embedded to the system tray and has some problems with Thai language. I couldn't send Thai message via Landell.

tapioca1 tapioca2

tapioca3

Tapioca with tapiocaui can flawlessly make voice calls to GTalk client. However, it has no incoming call and message alert popup and sound, just a blinking icon in the system tray, so that I missed some calls and chat. I tried to build the latest version of tapiocaui (0.3.9.1) but was not successful.

Tapioca and libjingle are not new. They have been released for more than 6 months. I had tried them before on PCLinuxOS. But at that time, there were no packages for PCLinuxOS so that I had to build them myself. Tapioca and libjingle depend on many packages such as ortp, farsight, dbus, dbus-glib and many more. I had to build them all from source and, BOOM!, they screwed up my box. After that, I switched to Kubuntu -_-"...

For you who are using Ubuntu family, there are Tapioca and Landell packages for Breezy and Dapper. Just add "deb http://extindt01.indt.org/VoIP/apt dapper main" for Dapper and "deb http://extindt01.indt.org/tapioca/apt breezy main" for Breezy to sources.list and then apt-get.

I wanna say that Tapioca is the best answer for ones who need GTalk voice call on Linux, at this time, though. It does its job excellently but its UI is too minimalist. Improvements to UI will make it more attractive.

Tuesday, October 24, 2006

Firefox 2.0 has been released

At last, it has been released; actually, it is the renamed RC3 and you may read its many new features from Mozilla website. I've just finished building and configuring something in FF2 on linux platform, saying that I patch and build it to use icu for Thai word breaking and create some graphic works :). I modified an about graphic and about dialog, including credit page with the Japanese Firefox mascot named Foxkeh. It's so adorable so that I have replaced the old "globe" mozilla logo as well as Firefox icon with it. Furthermore, this mascot is licensed under Creative Commons which makes "Foxkeh" can be used under Attribution and Non-commercial conditions. I hope that Mozilla will not sue me when I distribute my icu-thai patched build with Foxkeh logo.

Examples?

This
foxkeh2

and...

foxkeh1

However, savefile.com is down for some times, If somebody can find some hosts to upload, that would be highly appreciated.


Update: Savefile.com is back and I've just uploaded it here. Let's try and have fun! :D

Update2: Sorry for any inconvenience, Savefile.com sometimes down for maintenance but it's back now. Thankfully, there're people who mirrored this build of firefox on other servers so you may find it here and here. Thank Khun Noi and Khun wd.

Monday, October 09, 2006

Back online

Now I successfully switch to ADSL2+ and am back online again. The new one is spectacularly fast so that I may reach data limit (15 GB) so soon. However, it's still slow browsing Thai pages that their servers are in Thailand. I don't know why; may be because of the bottle neck of Thai gateway (port 80) or problem with the ISP proxy itself. Nevertheless, other kinds of data transfer, such as multimedia streaming, are great. I can watch most of Thai free TV via KU website smoothly, except MCOT; it's crappy slow -_-'.

In conclusion, switching to ADSL2+ is very great and cost effective at around 1,500฿/mo (it costs AU$49.95 and includes 500 min free calls from VoIP to capital cities in Aus and a great rate for international call). I wish I will have this in Thailand when I go back.

PS. I built Firefox 2.0 RC2 with Thai icu word breaking and uploaded it here.

Tuesday, October 03, 2006

Switching to ADSL2+

I'm in the process of switching to ADSL2+. The upsides are that it's lightning fast at 24 Mbps using the old telephone line and it includes 500 minutes call from the VoIP account. The downside is that I have to disconnect and remove the conventional ADSL (at 512kbps) of previous ISP from the line first. Then the new ISP will install the system to the line, which will take around 5 - 8 working days. That means I can't go online unless using the dial-up in that period. I have to live offline for a while.

Nowadays, life without internet would not be easy. Because almost everything has been moved to the internet, including shops, services, banking transaction and many more. Many times, I have to pay bills using internet banking, buy some stuffs as well as do a research on the internet. I used to live with always-on internet and find many things on it but now I can't do as before. Moreover, I use email as my main communication. To be offline means I will be out of touch from others, including jobs, friends and family. Okay, I still have a telephone and a phone card, however, it's not that convenient.

In contrary, life without internet may provide me more time to do things other than usual, for examples, reading books, preparing myself for the coming exam or even exercise. With internet, I would stick to the monitor, surfing the web and do nothing. Hopefully, this will be a chance to alter my lifestyle.

Alright, see you when my line is back.

Wednesday, September 27, 2006

Is Windows that bad?

For some times, I've read about how bad Windows would be from several blogs and web boards which belong to Linux and Mac communities. They described many many bad things in Windows such as instability, viruses, worms, malwares, spywares, security holes, etc... Some said that Win users may have to reformat and reinstall every 1 or 2 months. I can't deny the bad things mentioned above, however, I'd like to know that is that all MS fault?

Firstly, MS has admitted that its OS has ton of bugs and security holes and released ton of patches to correct them. The problem is that many users are just users. They don't know how important of those patches and decide not to apply them so that their boxes are vulnerable and unstable. Another reason is that the copies they're using are the pirated ones, especially in Thailand and most of developing countries. So, they're afraid that MS will penalise them or make their systems useless.

Furthermore, many users install so many (pirated) softwares, which, in many times, they never use them, to their boxes. These programs, sometimes, produce conflicts to each other, or even to the operating system itself making the system crash and hard to trace back. In addition to those softwares, many users love free(mal)wares and never read the agreement before installing them. This means you ALLOW the malwares to be run in your box.

Regarding viruses and worms, I don't have any argument to this. Because it is true that there're megatons of Windows viruses and worms out there. I have to admit that it has far less amount of viruses in other platforms (Mac, Unix and Linux) than in Windows. Nevertheless, you can immunise your system with anti-virus software and try not to be tempted to open certain kinds of email attachments which their subjects are about "pornography" or something like that.


From the factors above, you may see that the primary cause is USERS. They don't know how to use and maintain theirs properly. Or even worse, they don't want to know about it or remember what was happened to their systems and make it happen over and over again. (Honestly, it's not politics)

I dual boot Windows and Linux and use Linux as my main OS. I love it because it looks geeky and it can answer all my needs. However, I still have to use Windows because ... (you know that). My Windows system has been still healthy since the second installation (the first one had gone during Ark Linux installation. I accidentally deleted the Windows partition T_T), around 6 months since then. I always update security patches, do not install unnecessary softwares, try to read everything before installation and do update anti-virus definition. Since then, I've never seen BSOD. I feel that this is a kind of sufficiency economy. In term of softwares, if they are necessary, then buy and use them. But if they are not essential, why do you have to get them (illegally). Just keep it simple and clean and you'll be happy with Windows.

It's not that bad, is it?

PS. This is not an excuse for MS, however, I don't like some opinions, saying that how bad Windows could be while they don't even know what they are doing to their own system.

PS.2 First year anniversary in blogging at Blogspot :)

Wednesday, September 20, 2006

Everything has its own way.

As you may know that there's a coup in Thailand last night by The Administrative Reform Council. They announced the termination of Thai constitution (1997) and role of senators, representatives, the cabinet as well as constitutional court. Unsurprisingly, I expected this will happen some day but it is so soon.

While most of Thai people have low average education, they may not concern about their rights to participate in politics. Many of them have sold their souls to demons, I mean, sold their votes. Some have enjoyed the former government's policies that spoil them and do not encourage people to do things themselves. Lastly, they have been used as an excuse of the prime minister to regain his power. Ultimately, there was no equilibrium in the system and the system will seek its way to regain balance. In other 'developed' countries, where their citizens have higher education and realise their rights, I think this will be ended by people, in the way of democracy. It is, however, hard for Thai people to do like this as they don't even know about themselves; they know nothing. I believe that this may be the most appropriate way to reform Thai politics from the first day we know democracy, until now.

Moreover, if we don't improve ourselves, getting more to know, control and participate in politics, this event will return again and again. Everything has its own way. You'll see.

More resources regarding Yesterday's coup:

Saturday, September 16, 2006

Another release of Firefox 1.5 (again)

Well, this version, 1.5.0.7, was released 2 days ago with some security bug fixes. Nothing's new. You can see the list of bugs that have been fixed here.

I've just built this release with Thai icu word breaking patch on my Kubuntu box today. If you're using Linux and want Firefox with Thai word breaking ability, you may find it here. Please be sure that your box has gtk2, pango, pangoxft and icu.

Have fun :)

Wednesday, September 13, 2006

Finally, I switched to Kubuntu

At this time, I think there's no GNU/Linux distro that is more popular than the Ubuntu family (Ubuntu, Kubuntu, Xubuntu and Edubuntu). Secrets behind this success may be the ease of use and installation (some said that even their grandmas can install Ubuntu), community support, fresh new stuffs in the repository as well as marketing. However, this episode is not a review because many blogs have done that already. It's just my experience about migration from another distro to Kubuntu.

My previous distro is PCLinuxOS. It's a great distro providing many great components, community support as well as many (somewhat) up to dated software repositories. However, I had messed it up trying to manually install a program that has a conflict with the installed version (okay, it's DBUS). After that, it lost its ability to detect newly attached hardwares. Moreover, I had a problem with Konqueror saying that it freezed repeatedly when trying to open some certain web pages, for examples, kde-look.org and some Thai homepages. I tried to find many solutions including upgrading KDE, changing fonts, disabling java, etc... but no luck at all. After screwing up PCLinuxOS, I decided to give Ubuntu family a try and chose Kubuntu because it use KDE as its desktop.

However, I took more than two days to migrate from PCLinuxOS to Kubuntu. Why? Firstly, because I chose to keep my old /home partition and use the same username as in PCLinuxOS. This caused some problems. KDE couldn't start at the first time because of the remaining settings in my old home directory. The solution was to remove all KDE related settings (.kde directory). Some applications couldn't run at first because of the same problem, therefore, I decided to remove all settings from my home directory T_T (my god, all of my bookmarks). Secondly, there were so many updates for the installed softwares at the time I installed Kubuntu. I had to download all of them and took more than half a day. It looks like a "fresh Windows installation nightmare". Thirdly, Kubuntu does not provide my everyday life programs out of the box, so that I had to apt-get all of them. I had built Bon Echo 2.0 beta2 on PCLinuxOS but it did not work on Kubuntu at first because it had no gtk2!!! Okay, I could apt-get it all, though it took me another day, no problem. Fourthly, it came to multimedia problems. As you know that Ubuntu family does not provide codecs for restricted formats such as mp3, wma, wmv, dvd and so on, so that you have to download and install these codecs yourself. However, it is easier using EasyUbuntu which will manage to download and install all codecs, plugins and many more you need to your box. Next, NTFS problem, I could mount my Windows partition but couldn't access it unless I am a root. The solution was to add


/dev/hda1 /media/windows
ntfs noauto,user,exec,suid,nls=utf8,umask=0222 0 0


to /etc/fstab. Also, I had a problem seeing files that their names are Thai characters in the NTFS partition. Actually, it's not a problem at all if Konqueror is set to use Thai font for icon or filename. Finally, language problem, there's no Thai kde-l10n in the repository so that Kubuntu cannot display Thai interface. I know, I know, it's my fault. So, please wait until KDE 4 is included to the repository ;).

After a few days of finding packages, apt-get and configuration, my Kubuntu laptop is fully equipped with my everyday programs, codecs, plugins, my favourite games and ready to work now. Hope that I will not screw it up again so soon.

Saturday, September 02, 2006

Make a switch to LPG

Nowadays, the price of petrol is increasing resulting in higher daily life expenses and it seems not to be resolved soon. However, there's an alternative fuel that is cheaper and is used ubiquitously in many motor vehicles especially in taxi. Yes, it is LPG or liquefied petroleum gas that is used as a fuel for cooking appliances, heating devices as well as vehicles. Using LPG in motor vehicles is not new. It has been used for at least three decades and many car manufacturers include the bi-fuel system, meaning that you can use either petrol or LPG, to their certain models. However, many cars are not LPG enable and you may have to modify the fuel system yourself. This is the hidden expense for users that want to switch to LPG.

In Australia, because of much cheaper price of LPG (less than half of the gasoline price), the government has launched a scheme for LPG switching. It grants money for up to AU$2,000 for the use of LPG in motor vehicle, encouraging people to consider switching to LPG. The scheme will allow AU$1,000 to a person that decides to purchase a new LPG vehicle for private use and AU$2,000 to a person that wishes to convert the fuel system of his or her existing vehicle. Of course, you have to apply to the scheme in order to receive the allowance.

This is the example of the government that has something good to do. In contrary, the government in a certain country does not try to encourage people to use an alternative fuel like this. Also, it tries to offer a lower quality (NGV) fuel which is not much cheaper than LPG and build the image that LPG is dangerous while gaining profit from LPG as a cooking fuel. You know what I mean...

PS.
The Brazil government is also a very good example in encouraging people to consider an alternative fuel. They use alcohol! Most of motor vehicles in Brazil use alcohol and I think that there're very few gas stations selling petrol.

ตอนนี้กำลังปัดฝุ่นเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษใหม่ครับ ทนๆ อ่านหน่อยละกันนะ ;)

Tuesday, August 29, 2006

OpenOffice.org Uninstallation

จั่วหัวซะน่ากลัว แต่จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่คิดว่าทำไมตัว OpenOffice.org สำหรับ Linux ซึ่งมาเป็นชุด rpm ชุดใหญ่ มันดันไม่มีเครื่องมือสำหรับติดตั้งและยกเลิกการติดตั้งติดมาให้ด้วย

จริงๆ แค่คิดจะติดตั้งก็ยากแล้วสำหรับบางคน เค้าคงคิดว่าคนใช้ Linux ก็ต้อง Geek ระดับนึงละมั้งซึ่งที่จริง มันไม่ใช่แบบนั้น ผมเองยังงมหาวิธีติดตั้งนานพอดู (เพราะไม่รู้ว่า rpm มันใช้ wild card ได้ด้วย) สำหรับการติดตั้งโปรแกรมก็เคยเขียนไว้ทีนึงแล้วที่นี่ ก็แค่สั่ง rpm -Uvh *.rpm ในไดเร็คทอรีที่เก็บชุดโปรแกรมเอาไว้ก็แค่นั้นตัว rpm จะจัดการติดตั้งให้ตามลำดับเรียบร้อยไม่ต้องห่วงเรื่อง dependencies

ทีนี้ บางคนอาจจะรู้สึกว่า OO.o ไม่ค่อยเหมาะกับเราแฮะ หรืออาจจะอยากใช้ KOffice หรือ Abiword/GNOME Office แทน แล้วก็อยากจะลบ OO.o ทิ้ง ทีนี้ทำไงดี (จะมีไหมเนี่ย ผมว่า OO.o เป็นชุดออฟฟิศที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุดแล้วหละ) เก็บเอาไว้ก็เปลืองฮาร์ดดิสก์ ก็เป็นที่มาที่อยากจะเขียนตัว uninstall ซะเลย ทีแรกก็เขียนเป็น text mode ก่อน ต่อมาก็ซนอยากเขียนให้มันมี GUI มั่งก็เลยใช้ประกอบกับ Kdialog

หลักการทำงานก็ไม่มีอะไรมาก ก่อนอื่นหามาให้ได้ก่อนว่า packages ที่ทำการติดตั้งลงไปเนี่ยมันมีอะไรบ่้าง แบบนี้

rpm -qa |grep openoffice


ซึ่งมันจะ return ค่าออกมาแบบ

openoffice.org-[package]-[version]


เป็นจำนวนมากคิดว่าได้ทั้งหมด 26 packages หลังจากนั้นก็ตัดส่วนที่แสดงเวอร์ชันออกแล้วเก็บทั้งหมดลงไฟล์ชั่วคราวแล้วใช้ for loop เพื่อทำการ uninstall ด้วยคำสั่ง


for package in `cat $tmpfile`
do
rpm -e --nodeps $package
done


เสร็จแล้วก็ปรับแต่งเปลี่ยนแปลงหน้าตานิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ดูดี เช่นมีไดอะล็อก มี progress bar เป็นต้น (มันใช้ง่ายอยู่แล้วแหละ แค่ตอบว่าแน่ใจว่าจะลบออก ก็เท่านั้น)

ข้อเสียจากการใช้สคริปต์นี้คือ มันช้าโคตร เพราะว่าใช้ rpm -qa ทำการหา packages หลายรอบ ยังหาวิธีการจัดการกับ rpm package ที่ดีกว่านี้ไม่ได้ แถมพอใช้ร่วมกับ Kdialog ก็ทำให้ผู้ที่สามารถ run script นี้ได้เต็มรูปแบบก็มีแต่ root อีก (คือต้อง login เป็น root เพราะ su จะมีปัญหาเวลาเรียกใช้งานโปรแกรมที่เป็น X นอกจากจะ export display ออกไปให้คำสั่ง su สามารถใช้ display ได้ด้วย แต่ตามค่าปริยายแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ) ใช้ kdesu ก็ไม่ได้ สคริปต์มันไม่ทำงานต่อ ถ้าใครจะปรับปรุงสคริปต์นี้มห้มันดีขึ้นก็ได้นะ ไม่ว่ากัน และขอขอบคุณด้วย

ลองดูสคริปต์ได้ ที่นี่ ครับ

Saturday, August 26, 2006

ศพ

ว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะเนี่ย แต่มันดันกลายเป็นหัวข้อมาถกกันในเว็บบอร์ดที่ผมเข้าประจำบอร์ดนึง ก็เลยอดไม่ได้ ต้องมาเขียนซักหน่อย

=คำเตือน= ข้อความในบล็อกตอนนี้ เป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้น และผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะออกความคิดเห็นแบบนั้น หากว่าคุณอ่านแล้วรู้สึกขัดใจ ขัดตา คุณมีทางเลือกที่จะ อภิปรายกับผมด้วยเหตุผล หรือไม่ก็ออกไปซะ (มี Link ไปที่อื่นๆ อยู่ข้างๆ)

ศพ หรือชื่อเรื่องเดิมว่า อาจารย์ใหญ่ เป็นภาพยนตร์ของสหมงคลฟิล์ม ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ใหญ่ หรือก็คือผู้ที่สละร่างตนเองมาให้นักศึกษาในวงการสาธารณสุขได้เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์ และดันเอาไปเกี่ยวโยงกับเรื่องวิญญาณแค้น ความลึกลับต่างๆ มากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าไม่ได้เป็นการให้เกียรติท่านผู้เสียสละเหล่านั้นเลย เหมือนเอาชื่อมาใช้หากิน

ขั้นตอนที่จะมาเป็นอาจารย์ใหญ่นั้นก็ไม่ได้ง่ายๆ เริ่มจากเจ้าตัวที่ทำการบริจาคแล้ว ทางญาติก็ต้องยินยอมด้วย (ตามกฎหมาย ศพถือเป็นทรัพย์ของญาติ ซึ่งหากไม่ได้รับการยินยอมในส่วนนี้ก็ไม่สามารถเป็นอาจารย์ใหญ่ได้) นอกจากนี้ ยังมีการคัดเลือกอื่นๆ เช่น ศพอุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ แล้วเรื่องการตรวจสอบศพที่จะมาเป็นอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ใช่เป็นแบบลวกๆ ดังนั้นเรื่องของการซ่อนศพเข้ามาแล้วกลายเป็นวิญญาณแค้นก็เป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในส่วนนี้อีกด้วย

จริงๆ แล้วอาจารย์ใหญ่เป็นผู้มีพระคุณกับใครบ้าง? หลายคนอาจสงสัย ผมขอตอบไว้ตรงนี้ว่า หากว่าคุณเป็นผู้ที่ ใช้บริการทางการแพทย์ก็ต้องถือว่าอาจารย์ใหญ่ก็เป็นผู้มีพระคุณของคุณด้วยเช่นกัน เพราะอาจารย์ใหญ่ถือเป็นผู้เสียสละและจำเป็นในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพื่อมาบริการหรือรักษาพวกคุณนั่นแหละ

โดยส่วนตัว (อีกแล้ว) เห็นว่า การสร้างหนังหรือสื่อต่างๆ ออกมาแล้วกระทบกับความเชื่อ หรือสถาบันต่างๆ นี่ดูท่าทางจะเป็นของชอบของสื่อนะ ทั้งศาสนา ทั้งวงการแพทย์ ต่อไปก็คง ตำรวจ ทหาร รัฐบาล (ถ้ากล้าทำอันนี้นี่จะดีใจมาก) เพราะว่ามัน ขายได้ ส่วนผลกระทบต่อสังคม หรือความเชื่อหรือว่าประชาชนอื่นๆ นั้นเอาไว้ทีหลัง ถ้าหากว่ามีแรง ก็ถือเป็นการโปรโมตไปในตัวแล้วก็ทำการแก้ไขไปทีหลังตามนั้น

หลายคนก็ออกมาบอกว่า "เฮ้ย นี่แค่หนัง คิดอะไรมากวะ แยกไม่ออกหรือไง รำคาญพวกประท้วงว่ะ" หรือ "ตอนก่อนสร้าง ตอนบวงสรวงเริ่มถ่ายทำ ทำไมไม่ออกมาตั้งแต่แรกเล่า เสร็จแล้วค่อยออกมา" เอาละ ผมคนนึงหละที่ไม่เชื่อว่า คนที่ออกมาประท้วงนั้นจะไม่มีวิจารณญาณจนกระทั่งแยกไม่ออกว่าเป็นหนัง หรือว่าเรื่องจริง แต่ การไปกระทบกับความเชื่อ หรือการสร้างความเข้าใจผิดให้คนอื่นต่อสิ่งที่คนกลุ่มนี้ รวมทั้งผมด้วย นับถือเนี่ย ก็ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผม หรือของคนกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน ตามรัฐธรรมนูญ และผมคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะประท้วงเพื่อทำการรักษาสิทธิ์อันพึงมีด้วยเช่นกัน ลองคิดในมุมกลับกันถ้าหากว่าเกิดมีการสร้างหนังที่สร้างความเข้าใจผิดต่อคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณนับถือแบบมากๆ (ไม่ต้องดูไกล ดูรายการหลุม... ที่สร้างความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเป็นไง) คุณอยากจะนั่งดูเฉยๆ ไม่คิดมาก นี่หนัง หรือว่าคุณอยากจะลุกขึ้นมาประท้วงแก้ไขความเข้าใจผิด

ส่วนเรื่องในการผลิตนั้น ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของใครกันแน่ที่จะต้องหาข้อมูล หรือหาที่ปรึกษา มันเป็นหน้าที่ของพวกผม พวกบุคลากรทางการแพทย์เหรอที่จะต้องรี่เสนอตัวเข้าไปรับรู้ว่า ตอนนี้กำลังบวงสรวงเปิดกล้องเรื่องนี้อยู่นะ เรื่องมันเป็นแบบนี้นะ มันไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ทั้งนักศึกษาแพทย์วันๆ เรียนก็ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น อยู่เวรต่างหาก เขียนรายงานผู้ป่วย อ่านหนังสือเตรียมสอบ แค่นี้หัวก็หมุนตายแล้ว แล้วแพทย์และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่วันๆ ต้องบริการคนไข้เป็นร้อยๆ นี่เขาจะต้องมาคอยติดตามหรือว่า คุณจะถ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วต้องรีบเสนอตัวเข้าไปเป็นที่ปรึกษา

ดังนั้น ผมถือว่ามันเป็น "การบ้าน" ที่ทางผู้ผลิตควรจะต้องนึกถึง และหา "ที่ปรึกษา" มาเพื่อลด impact กับความเชื่อของบุคคลกลุ่มบุคคลลงให้น้อยที่สุด จุดประสงค์ของภาพยนตร์คือความบันเทิง แต่มาแบบนี้บันเทิงไม่ออกว่ะ เป็นไงล่ะ เสียประโยชน์กันทุกฝ่าย ฝ่ายสร้างก็ต้องเสียเวลาตัดต่อแก้ไข โปรโมตชื่อใหม่ ฝ่ายประท้วงก็เสียชื่อ ถูกด่าอีกว่าไม่มีอะไรทำเหรอ (ทั้งๆ ที่ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบดีกว่า) ฝ่ายคนดูก็อารมณ์เสีย เหมือนได้อะไรไม่ครบ แถมหลายคนก็บอกว่าเป็นแบบนี้หนังไทยก็ไม่เจริญ ผมว่าคงมีซักทางที่ไม่ต้องมาเล่นกับเรื่องความเชื่อหรือสร้างอะไรที่มันดู Controversy แล้วสามารถทำให้วงการเจริญได้ ลองทำหนังเกี่ยวกับวงการของตัวเองดูสิ อีกอย่างก็คือ ถึงแม้จะมีที่ปรึกษาที่เหมาะสมเข้าไป ผมเชื่อว่า สิ่งที่ออกมามันก็ยังขึ้นอยู่กับทางผุ้ผลิตและสปอนเซอร์เป็นหลัก ซึ่งไม่สามารถรับประกันได้ว่า สิ่งที่ที่ปรึกษาบอกไปจะถูกนำมาแก้ไข

คนไทยไม่เหมือนฝรั่งแน่ๆ สังคมไทยมันมีอะไรที่ลึกกว่านั้น ฝรั่งอาจจะสร้างหนังที่ดูหมิ่นรัฐบาลประธานาธิบดี หรือแม้แต่กษัตรย์หรือราชินีในประเทศตัวเองได้โดยไม่รู้สึกอะไร แล้วคนดูก็ชอบซะด้วย แต่คนไทยมันไม่ใช่แบบนั้นการเข้าไปลบหลู่หรือว่าสร้างความแตกแยกให้กับความเชื่อ (อย่างแรงกล้า) ของคนไทยกลุ่มใดกลุ่มนึงเข้า มันต้องมีปัญหาแน่ๆ

หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นบทเรียนให้ทีมที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ หรือความบันเทิงอะไรขึ้นมาซักเรื่องนึงเก็บไปคิดได้ว่า ควรทำอย่างไรต่อไป รวมทั้งวงการต่างๆ ให้คอยเฝ้าดูวงการภาพยนตร์อย่างใกล้ชิด ถ้ามีอะไรไ่ชอบมาพากล จงรีบประท้วงก่อนการสร้าง ว่าควรเปลี่ยนโครงหรือบทหรืออะไรก็ว่ากันไป ไม่งั้นก็โดนด่าอีก

Thursday, August 24, 2006

เศร้า รอบ 2 T_T

ผล Clinical assessment มาแล้วประกาศ 9 โมงเช้าวันนี้ทางเว็บของ AMC


"Unsuccessful Candidate"


เซ็งว่ะ... เศร้าว่ะ... T_T

จริงๆ ก็พอรู้ตัวอยู่ว่า ตอนสอบนี่บริหารเวลาได้เฮงซวยมาก พูดติดขัด มีอาการนึกไม่ออกเงียบเยอะ ทำตาม task ไม่ทันภายในเวลา 8 นาที ทีแรกก็กะประมาณอาจจะพอ resit ได้ แต่นี่แบบ ไม่ผ่านเลย...

เอาเหอะ ถือเป็นการลองสนาม (ตอนสอบ MCQ รอบแรกก็ยังเงี้ย) แต่ค่าลองสนามแพงไปหน่อย AU$2,510 แน่ะ (เกือบ 75,000) คราวหน้าเอาใหม่ ตอนนี้ต้องเตรียมสอบภาษาอังกฤษอีกรอบ (OET) แล้วก็ออกหางานทำเก็บเงินไปสอบก่อนล่ะ หวังว่าคงได้งานซักที่นึงนะ (เป็น HMO)

คราวหน้า ไม่เป็นงี้แน่...

สู้ว้อย!!!

Friday, August 18, 2006

พรุ่งนี้สอบอีกแล้ว T_T

พรุ่งนี้สอบภาคปฏิบัติ (Clinical skill test) หลังจากสอบผ่านภาคทฤษฎี (MCQ) มาแล้วเมื่อ ~5 เดือนก่อน มันก็ไม่แปลกที่ยังไงๆ ก็รู้สึกไม่พร้อมซักที ตื่นเต้นจริงๆ คนรอบข้างก็ว่า "น่าจะผ่านนะ" กันทุกคน หวังว่าคงจะผ่านอย่างที่คิดกันจริงๆ นะหึหึ ตอนเข้าเรียน course เขาก็บอกว่า "Knowledge 30%, tricks 70%!!!"

ใจเย็น ใจเย็น ใจเย็น...


อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!

Friday, August 11, 2006

How important is the UI?

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่างาน WWDC '06 ซึ่งมีทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Mac Pro และการเปิดเผย features บางประการของ Mac OS X 10.5 หรือ Leopard แล้วก็แน่นอนว่าหลังจากที่หลายๆ คนได้ดู Keynote ของป๋า Jobs ไปแล้วก็มีอาการหมั่นไส้ไปตามๆ กัน เรื่องลอกหรือไม่ลอก โดยเหตุผลหลักๆ ก็คือป๋ากัดเค้า (ที่คุณก็รู้ว่าใคร) ซะจนเหวอะไปหมด แต่พอมาคิดดูจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ต่างไปจากคนที่ป๋ากัดซักเท่าไหร่ หลายๆ features ที่บอกออกมาว่าใหม่หรือว่า innovative นั้น เอาเข้าจริงมันเป็นหลักการหรือความคิดที่มีคนทำกันมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น Spaces ที่มีมานานมากแล้วใน X11 (Virtual desktop ใน KDE ที่ผมใช้อยู่รวมกับ Kompose ทำได้เหมือนกับใน Mac ทุกประการ) หรือ Time Machine โดยหลักการก็เหมือนๆ กับโปรแกรมอย่าง OpenVMS หรือแม้แต่ Volume Shadow Copy ของไมโครซอฟต์เอง เพียงแต่เอามาทำเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เสริมเติมแต่งส่วนติดต่อกับผู้ใช้เพื่อให้ดูดีและใช้ง่าย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มันคงไม่ถูกใจ Geek ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การใช้งานในระดับที่อย่างน้อยๆ ก็ทำงานกับ CLI มานานรวมทั้งเขียน script หรือเขียนโปรแกรมเป็น แต่มันคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่รวมทั้งมี usability สูงสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ หรือแม้แต่คนที่ใช้งานมานานแต่ไม่มีความรู้เรื่องระบบเลย...

ทีนี้มาว่ากันเรื่อง User Interface ตามความหมายก็คือส่วนติดต่อระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ และเป็นความจริงที่ว่าคนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกคนในปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นนักคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ จึงควรที่จะต้องคำนึงถึงการใช้งานของคนปกติ ไม่ใช่นักคอมพิวเตอร์

ผมเองเคยเจอการใช้งานหลายๆ โปรแกรมที่การออกแบบการติดต่อกับผู้ใช้นั้น ไม่สามารถสร้างความเข้าใจและความสะดวกในการใช้งานได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ชุดโปรแกรม Office ทั้งหลาย ที่เล่นเอา features สำหรับอำนวยความสะดวกไปซ่อนซะลึกเชียว แถมมีปุ่มไอคอนและแถบเครื่องมือเต็มหน้าจอไปหมดจนเลือกไม่ถูก -_-' (มันถึงต้องปรับปรุง interface ในรุ่น 2007 ไง แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ไม่ต้องเพิ่ม features อีกหรอก) หรือการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางหลายๆ โปรแกรม ตัวอย่างเช่น ที่ทำงานของ Boss จะมีโปรแกรมสำหรับทำ Image processing อยู่เพื่อทำการวิเคราะห์จำนวนเซลล์ หรือสารต่างๆ ภายในเซลล์ที่ได้ทำการย้อมสีพิเศษเอาไว้ ตัวโปรแกรมนั้นใช้ยากเป็นบ้า ไอคอนไม่ได้สื่อความหมายอะไรเลย แถมยังมีการปรับค่าต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรอีกบาน เสียเวลาคลำว่ามันใช้ยังไงไปค่อนข้างนาน (~2 ชั่วโมง สำหรับผมรวมเวลาอ่านคู่มือด้วย ถ้าเป็นคนอื่นสงสัยใบ้กิน) คือคนที่ Lab นี่แบบว่า ทำอะไรก็จะทำแล้วก็สอนต่อๆ กันมา ไม่ค่อยอ่านคู่มือ (คล้ายๆ คนไทยเลยหว่ะ) ถ้าอะไรมาใหม่มากๆ ทำไม่เหมือนเดิมจะเกิดอาการใบ้แดก ดังนั้นการเป็น Scientist ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็น Computer scientist ไปด้วย

กลับมาเรื่อง Apple ในเรื่องนี้ผมว่าถ้าไม่ได้คำนึงกันถึง features ที่เรียกว่าหลายอันนอกจากไม่ใหม่แล้วยังลอกเค้าอีกบานหรือเอาของเก่ามารวมๆ กันแล้วเรียกว่าใหม่ (ขอกัดหน่อย) ผมว่า Apple ทำการตอบโจทย์เรื่องส่วนติดต่อผู้ใช้ได้ดีมาก คือ การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้โดยคำนึงถึงความเป็น "มนุษย์" มากกว่า Geek มีความเข้าใจว่าควรจะเพิ่มอะไรเข้าไปหรือตัดอะไรออกเพื่อลดความสับสนในการใช้งาน ยกตัวอย่างเรื่อง Time machine ที่ถ้าเป็นซอฟต์แวร์สำหรับทำ volume backup ที่เห็นกันอยู่ทั่วไป หลายตัวยังใช้ CLI อยู่ ในขณะที่บางตัวจะเปิดการทำงานก็ยากแล้ว ถ้าไม่มีกำลังภายในที่จะทำหรืออยากศึกษาก็ไม่ต้องใช้กันละ แต่สำหรับ Time machine แค่ "just set it up and forget it" การตั้งค่าที่ดูๆ ก็ง่ายดีแถมเวลาเรียก restore ก็มี interface ที่เข้าใจง่าย คือ ปัจจุบันอยู่หน้าสุด แล้วอดีตก็อยู่ไกลออกไป มันดู make sense ดี หรือ Spaces ที่ดูแล้วไม่มีอะไรใหม่ แต่เมื่อเอามารวมกับการเคลื่อนไหวและการ drag n drop มันทำให้ดูน่าใช้ขึ้นจม (KDE + Kompose ก็ทำได้ ยืนยันว่ามัน drag n drop ได้ด้วย) ซึ่งผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่พอคุณ iMenn กลับมาตอบ ผมก็ว่า เออ สำหรับบางคนเนี่ย การเคลื่อนไหวแบบ eye candy มันก็จำเป็นในการเข้าใจว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนแฮะ


Time machine browser จาก Apple

ผมเคยคุยกับเพื่อนที่ทำปริญญาเอกทางด้าน computing เขาก็ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเขียนโปรแกรมก็คือการทำให้มันทำงานได้ถูกต้อง bug น้อยที่สุด รวมทั้งต้อง optimise ให้มันทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ผมถามเรื่อง UI แล้วเขาก็บอกว่า เรื่อง UI นั้นเรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วใครๆ ก็ออกแบบ UI ได้ โอเคผมเห็นด้วยในส่วนของ backend แต่ผมก็เห็นว่าการออกแบบ UI นั้นไม่ได้มีความสำคัญยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยถ้าหากว่าต้องการทำโปรแกรมขายน่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะเขียนโปรแกรมที่ทำงานได้ถูกต้องมากที่สุด เร็วที่สุด แต่ถ้าอินเทอร์เฟสมันดูงี่เง่า ก็แทบจะไม่มีประโยชน์ เพราะคน(ธรรมดา)ไม่รู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไร (ประสบการณ์ตรงในเรื่องการใช้งานโปรแกรมสำหรับการตรวจโรคอันนึงที่ไม่ใช่ HospitalOS กับ HOSxP มันมีอินเทอร์เฟสดูยุ่งมากในการใช้งาน หมอส่วนมากรวมทั้งผมด้วยเลยตัดสินใจว่าเขียน OPD card กับใบสั่งยาแบบเก่าดีกว่า...)

ปล. นอกจากเรื่องของโปรแกรมแล้ว เรื่องการออกแบบหน้าเว็บก็สำคัญไม่แพ้กัน หลายๆ ครั้งที่ Boss ต้องการจะให้หลายๆ คนที่คุยด้วยไปดาวน์โหลดโปรแกรมบางตัว (ส่วนมากเป็น IM กับ freeware) แล้วก็หันมาถามผม ผมก็บอกหน้าหลักของเว็บไป Boss บอกว่า "เอาหน้าดาวน์โหลดมาเลย บอกหน้าหลักไปไม่มีใครหาเจอหรอก" ซึ่งผมก็สงสัยว่ามันเป็นเพราะว่า คนดูเว็บอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก หรือว่าเว็บมันออกแบบซ่อนเอาไว้แบบงี่เง่ากันแน่ หุหุ

Saturday, July 29, 2006

How to build Firefox

จริงๆ เรื่องนี้สามารถหาได้ง่ายๆ ในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นที่ Mozilla เองหรืออีกหลายๆ ที่ที่ได้มีการบันทึกวิธี build เอาไว้บน platform ต่างๆ เช่น การ build Firefox บน Windows ให้ตัดคำไทยโดยคุณสัมพันธ์ที่ osdev.co.th หรือของคุณพูนลาภที่เขียนไว้นานแล้ว (ซึ่งบางส่วนอาจจะ obsolete ไปแล้ว) ก็เลยขอมาบันทึกเพิ่มเติมไว้ที่นี่ อีกอย่างติดคุณ wd เอาไว้นานแล้วด้วย (แหะๆ)

  • รุ่นที่จะทำการ build -- Firefox 1.5.0.5
  • Platform -- Linux i686
  • Engine สำหรับตัดคำภาษาไทย -- ICU
  • Patches ที่ใช้ สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่
    • Mozilla ICU Thai patch 2.8 -- เพื่อให้เรียก icu สำหรับตัดคำไทย
    • Mozilla with-icu patch 0.6 -- เพื่อให้คำสั่ง configure สามารถเรียก option --with-icu ได้
    • Mozilla fix CTL patch 4.12 -- เพื่อแก้ไขปัญหาแสดงผลผิดพลาดเมื่อมี justify tag ในหน้าเว็บ
  • สิ่งอื่นๆ ที่ต้องมี
    • ชุด development ของ icu, pango, X, gtk2 ฯลฯ ซึ่งถ้าหากใช้ดิสโทรที่มี apt-get หรือ smart น่าจะหาได้ไม่ยาก
    • Compiler (GCC นั่นแหละ)
    • ชุด autoconf >= 2.13 เพราะต้องทำการปรับปรุง configure script ใหม่
    • พวก utilities อื่นๆ อย่างเช่น gzip, tar, textutils ซึ่งมันก็ควรจะมีอยู่แล้ว



ทีนี้ก็มาเริ่มกันได้...

ก่อนอื่น ขั้นแรกต้องไปดาวน์โหลดต้นรหัสหรือ source code มาก่อน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากftp ของ mozilla เสร็จแล้วก็แตกไฟล์ออกด้วยคำสั่ง
tar -jxvf firefox-1.5.0.5-source.tar.bz2


จะได้ไดเร็คทอรี mozilla ออกมา ขั้นต่อมาก็ให้ทำการก็อปปีไฟล์ patches เข้าไปไว้ในไดเร็คทอรี mozilla แล้วก็ทำการ patch จากภายในไดเร็คทอรีดังนี้

#patch สำหรับแก้ไข justify tag
patch -p1 < deerpark-cvs-rtl-v4.12.patch

#patch สำหรับเรียก icu ให้ตัดคำไทย
patch -p1 < mozilla-icuthai-2.8.patch

#patch สำหรับแก้ให้ script configure สามารถเรียกใช้ option --with-icu ได้
patch -p1 < mozilla-withicu-0.6.patch

#เรียกโปรแกรม autoconf เพื่อสร้าง configure
autoconf-2.13


จากนั้นเราก็ใกล้จะได้เริ่มทำการ build แล้วครับ (แหะๆ ) แต่เดี๋ยวก่อน! สำหรับการ build โปรแกรมจาก mozilla นั้น มีขั้นตอนพิเศษอยู่อีกนิดนึง นั่นคือ options สำหรับ configure script จะถูกเก็บเอาไว้ในแฟ้ม .mozconfig ซึ่งเนื้อหาภายในก็จะเกี่ยวข้องกับการสร้าง buildroot directory และ switches สำหรับการ build firefox ให้มีความสามารถต่างๆ เช่น ให้รองรับ canvas, ให้ใช้ชุดคำสั่ง pango เป็นต้น ส่วนอันนี้เป็นตัวอย่างของ .mozconfig ที่ผมใช้


. $topsrcdir/browser/config/mozconfig

mk_add_options MOZ_OBJDIR=@TOPSRCDIR@/firefox_build
ac_add_options --enable-static --disable-shared
ac_add_options --disable-tests
ac_add_options --enable-optimize
ac_add_options --disable-debug
ac_add_options --with-icu
ac_add_options --enable-default-toolkit=gtk2
ac_add_options --enable-pango
ac_add_options --enable-svg
ac_add_options --enable-xinerama
ac_add_options --enable-xft
ac_add_options --enable-ctl
ac_add_options --enable-canvas


บรรทัดบนสุดบอกว่า จะทำการ build Firefox (เทียบเท่า option --enable-application=browser)
บรรทัดถัดมาบอกให้ทำการ build ในไดเร็คทอรีต่างหาก ชื่อว่า firefox_build ซึ่งมีประโยชน์ก็คือมันจะไม่ mess up ซอร์สในไดเร็คทอรี mozilla และหากว่าคุณต้องการ build แอพพลิเคชันตัวอื่นๆ ในชุด mozilla ด้วย build root เดียวกันก็จะสามารถทำได้
ส่วน options ตัวอื่นๆ ได้แก่ ให้ทำการ build แบบ static แปลว่า ให้รวมไลบรารีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องลงมา โดยไม่ต้องไปเรียก shared libraries อีก มีผลทำให้เร็วขึ้น และไม่มีปัญหาเวลาไป run บนดิสโทรอื่น (เพราะรวมไว้หมดแล้ว), เปิดการ optimization, ปิดการดีบัก, ใช้ icu, ใช้ pango, gtk2, xft, xinerama, เปิดการสนับสนุน svg, canvas, complex text layout (เช่นภาษาไทย)
ซึ่งตรงนี้ถ้าอยาก build แบบ conventional คือเรียก ./configure --option1 --option2 ... แล้ว make ก็ได้มั้ง แต่มันคงยุ่งมากเลย แล้วที่ mozilla ก็ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น

แล้วก็ได้เวลา build ... สำหรับตอนที่ผม build นั้นมันเกิดปัญหานิดหน่อย คือมันติดตรงที่ script มันไม่เรียก link libraries ที่จำเป็นอยู่ 2 ตัว คือ libXft กับ libpangoxft-1.0 ผมเลยต้องกำหนด LDFLAGS เพิ่มเข้าไปก่อนทำการ build


LDFLAGS="$LDFLAGS -L/usr/X11R6/lib -lXft -L/usr/lib -lpangoxft-1.0"
export LDFLAGS


แล้วจึงทำการเรียกคำสั่ง build

make -f client.mk build


รอ + ภาวนาให้มัน build ผ่าน หรือออกไปหาข้าวกินก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเครื่อง ถ้าหาก ram เยอะ processor เร็วๆ อาจใช้เวลาประมาณ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าน้อยๆ ก็อาจจะเป็นชั่วโมงครึ่ง สำหรับผมใช้เวลา ~45 นาที

หลังจากนี้ถ้า build เรียบร้อยแล้ว ก็มาทำการรวมไฟล์ทั้งหมดแล้วสร้างเป็นตัว installer (จริงๆ คือ tarball ไม่มีอะไรมากกว่านั้น)

make -C firefox_build/browser/installer


ตรง firefox_build คือ build root ที่ผมบอกให้ .mozconfig สร้างไว้ครับ แล้วแต่ว่าคุณจะกำหนดเป็นอะไร หลังจากสั่งแล้ว คุณจะได้ไดเร็คทอรี firefox ซึ่งสามารถเรียกใช้งานได้เลย และ Firefox tarball อีก 1 ไฟล์สำหรับแจกจ่าย อยู่ใน mozilla/firefox_build/dist ครับ

สุดท้ายนี้ ถ้าไม่อยาก build เองก็เชิญ load ได้ที่นี่ครับ ผม build ไว้บน PCLOS แต่ทดสอบกับ Ubuntu แล้ว เรียบร้อยดี :D
md5sum คือ 3417dad14a5315bc4f07b5c4c31c4181 ครับ

update: ผม build 1.5.0.6 แล้วอยู่ ที่นี่ ครับ

Friday, July 14, 2006

DrRider (and Boss) in the USA -- ภาคจบ

เขียนมาเป็น trilogy เลย ตอนนี้ชักขี้เกียจแล้ว ความจำสั้น ผ่านมาจะครึ่งเดือนแล้ว -_-'

ทีนี้ก็ถึงวันกลับ... เนื่องจากเครื่องที่ออกจาก Pittsburgh ไป LA มันออกประมาณแปดโมงครึ่ง และเวลา check-in โดยทั่วไปก็คือ 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ดังนั้นวันนี้เลยต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้า อาบน้ำแช่น้ำ (เพราะต้องแกร่วบนเครื่องบินอีกเป็นสิบชั่วโมง ดังนั้นขอสบายก่อน) แปรงฟันแต่งตัว ชงกาแฟกิน (ในห้องมีกาแฟถุง Starbuck กับเครื่องชงกาแฟให้) แล้วก็ลงมา check-out ที่ lobby เจอกับเพื่อนที่จะไปเที่ยวบินเดียวกัน เอาหล่ะ เพื่อนลองไปถาม door boy ดูเผื่อมีรถไปส่งสนามบินฟรี แต่ปรากฏว่า คนละ $US20 เลยไปแท็กซี่ดีกว่า ถูกกว่าเยอะ (ขากลับรถไม่ติดค่าแท็กซี่รวมทิปก็ยังถูกกว่าขามาพอสมควร) และได้เรียนรู้อะไรอีกอย่างว่า แท็กซีที่ USA นี่ขับได้เก่งพอๆ กับแท็กซีไทย สามารถซอกแซกไปตามเลนต่างๆ ที่พอจะแทรกไปได้แบบหวาดเสียวเล็กๆ -_-"

หลังจากไปถึงสนามบิน ก็ไป check-in ทีนี้ดันต่อแถว self check-in ซึ่งเอาละสิ ไม่รุ้รายละเอียดการเดินทางเลย หมายเลขตั๋วอะไรก็ไม่มีเพราะว่า ไม่มีที่ print จำไม่ได้ ฯลฯ สรุปต้องให้เจ้าหน้าที่เขาช่วย (ตรงนี้ไม่ต้องทิปแฮะ) ผ่านมาได้ก็ไปตรวจกระเป๋า ซึ่งหลายๆท่านทราบดีว่า การโหลดกระเป๋าขาออกจากอเมริกานั้น ห้ามล็อคกระเป๋า เพราะหากเกิดแจ็คพ็อตเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจกระเป๋าของท่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ท่านต้องซื้อล็อคใหม่เอง เพราะเขาจะตัดล็อคโดยไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่มีอะไร ส่งเข้าเครื่อง X-ray ตามปกติ แต่ช้าก่อน... เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ในกระเป๋าก็เลยเรียกเจ้าของ (ผมกับ boss) มาดู นึกในใจ อะไรอีกวะ แจ็คพ็อตจริงๆ มาอเมริกาคราวนี้ เปิดๆ ค้นๆ ดูก็ไม่มีอะไร คาดว่าอาจจะเห็นกระจกหรือแฟ้มอะไรซักอย่างแล้วมันผิดสังเกต ก็บอกโอเค แล้วก็ปล่อยกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่องได้ หลังจากนั้นก็ไปที่ gate แน่นอนว่าต้องผ่านการตรวจกระเป๋าถืออีกรอบ แจ็คพ็อตตามเคย -_-' กระผมโดนเรียกเข้า track พิเศษแล้วตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ถูๆ หาสารระเบิดเช่นเคย (boss กับเพื่อนอีกคนไม่โดน) ชักเหนื่อยกับอเมริกาแล้วอะ -_-' ผ่านเสร็จเราก็ไปที่ส่วน terminal กันแล้วก็หาข้าวเช้ากิน คราวนี้ไปนั่งกินร้าน grille ในสนามบิน กินไก่ย่างโปะชีสกินกับ broccoli และมันฝรั่ง ถูกกว่าร้านข้างนอกเยอะอะ จานละ US$10 กว่าๆ อร่อยด้วย



หลังกินเสร็จก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องเพื่อไป LA พอได้เวลาก็ไป (เครื่องบินที่นี่ตรงเวลาดีแฮะ) ถึง LA ก็ต้องไปนั่งรออีกกว่า 10 ชั่วโมงเพราะเครื่องมันออกห้าทุ่มครึ่ง T-T ระหว่างนี้เดินหาปลั๊กกับสัญญาณ wi-fi จนทั่ว แต่สัญญาณมันอ่อนเอามากๆ จนไปเจอ Access point ของ JAL lounge ใช้ฟรี :) (แต่ไม่รู้เจ้าของเขาให้ใช้หรือเปล่าเพราะบิน Qantas) ที่จริงเพื่อนที่ออสเตรเลียฝากเงินมาซื้อ Creme de La Mer แต่ยังซื้อให้ไม่ได้ เพราะยังไม่มี Boarding pass ต้องรอจนเคานท์เตอร์ของ Qantas เปิด (ประมาณห้าโมงเย็น) หลังได้ Boarding pass ก็ไปซื้อของจาก duty free (ไม่เคยรู้จักมันมาก่อนเหมือนกัน แต่พอรู้ว่ามันแพงสุดๆ) เอาเป็นว่าได้ราคาที่ดีกว่าออสเตรเลียหรือไทยมากก็แล้วกัน (คนขายบอก คนไทยมาซื้อกันเยอะ)

พอได้เวลาห้าทุ่มก็ไปรอขึ้นเครื่อง ทีนี้เป็นครั้งที่ผ่าน security ได้ง่ายที่สุด แม้ว่าจะลืมเอามือถือออกจากเอว (แหะๆ) ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับออสเตรเลีย...

หลังจากได้ไปอเมริกามารู้สึกได้ว่า security มันเยอะจริงๆ หว่ะ (พอเข้าใจว่าหลัง 9/11 ก็ควรจะเป็นอย่างงั้นน่ะ) แต่รู้สึกอึดอัดอย่างแรง แล้วก็ในความรู้สึกคือความเป็นมิตรมันน้อยกว่าออสเตรเลียเยอะ อีกอย่างคือทำไมกรูโดนตรวจอยู่เรื่อยเลยวะ (ถามเพื่อนอีกคนที่เป็นคนจีนบอกว่า ตอนไปอเมริกาเขาก็โดนเยอะแบบนี้แหละ เป้าหมายในการตรวจคงจะมุ่งที่ Asian/middle east male ก่อน นี่ถ้ามีเคราเยอะๆ หรือโพกหัวด้วยคงโดนแก้ผ้าตรวจด้วยมั้ง หุหุ)

สรุป ไปอเมริกาคราวนี้ได้ Learning Python มาเล่มนึง จบดีก่า...

ปล. ฉลองครบรอบ 50 posts แล้วเฟร้ย... Woohoo!
ปล.2 วันนี้เพิ่งได้ ShipIt! หลังจากสั่งไปเกือบ 2 เดือน มี Ubuntu x5 กับ Kubuntu x5 แล้วก็สติกเกอร์ x12 สั่งมาเผื่อแจกเพื่อนแถวนี้ใครอยู่ออสเตรเลียอยากได้มาหาผมที่บ้านได้นะ :D (ค่าส่งไปรษณีย์มันแพง... แหะๆ)

Sunday, July 02, 2006

DrRider (and Boss) in the USA -- Part II

ต่อจากคราวที่แล้ว ก็มาถึง Pittsburgh จนได้ ซึ่งช้ากว่ากำหนดการ 1 วัน ฝนกำลังตกพรำๆ อุณหภูมิประมาณ 26-27 องศาเซลเซียส เราสามคนก็ขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงแรม เพื่อนถามว่า ตอนนี้ Pittsburgh เป็นไงมั่ง คนขับแท็กซี่บอก "Wet!" ถึงโรงแรมค่าแท็กซี่ทั้งหมด US$45 (มีทิปด้วย) เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่า ที่อเมริกา จะใช้บริการใดๆ ก็ต้องให้ทิปอย่างน้อย 10 % ตอนนี้รู้ซึ้งแล้วแท็กซี่ก็ต้องทิป ชักคิดถึงออสเตรเลียขึ้นมาตงิดๆ -_-'

เอาหล่ะ พอไปถึงโรงแรม (Westin)ซึ่งอยู่ติดกับ Convention Center ที่จัดงานประชุมวิชาการ ก็ขนกระเป๋าเข้าไป (เอง เพราะไม่ต้องการให้ทิป) แล้วไปติดต่อที่ Lobby ปรากฏว่า เป็นเพราะเรามาช้าไปวันนึง เขาจึงยกห้องที่จองไว้ให้คนอื่นไปเรียบร้อย -_-' แล้วก็บอกว่า คงต้องรอจนถึงประมาณ 10 โมงหรือเที่ยงๆ (อันเป็นเวลา Check out) ถึงจะหาห้องให้ได้ โหย ตอนอยู่ในเครื่องบินนี่คิดถึงเตียงสุดๆ พอมาถึงดันไม่มีห้อง T-T แต่ก็ยังไม่ถือว่าโชคร้ายมากที่ "ป๋า" ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า ถ้ามาถึงแล้วยังไม่มีห้อง ให้ไปที่ห้องป๋าก่อน (สืบเนื่องจากตอนที่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง Boss ได้ โทรไปหาเลขาของป๋า แล้วเลขาก็จัดการ email ไปหาทุกคนที่เกี่ยวข้อง) เราก็เลยขึ้นไปที่ห้องป๋า และบังเอิญเจอป๋าระหว่างทางพอดีก็เลยไม่มีปัญหา


หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ (ในห้องป๋านั่นแหละ) ก็แยกกันไปหา Breakie กิน แน่นอนว่าผมกับ Boss คงออกสำรวจหาของกินราคาถูกก่อน แต่ ... ตอนนั้นประมาณ 9 โมงเช้าวันจันทร์ ยังไม่มีร้านอาหารเปิดเลย เลยต้องกลับมาหากินที่โรงแรม ขึ้นไปกินอาหารเช้าแบบอเมริกันบุฟเฟต์ มีไส้กรอก, เบคอน, ไข่ ฯลฯ คนละเกือบ US$18 ยังไม่รวม vat 7% กับทิปต่างหาก สิริรวมมื้อนั้น US$40 -_-' ลืมบอกว่า ราคาที่แสดงไว้ในอเมริกานี่คือราคาที่ยังไม่รวม vat ต้องบวกไปอีก 7-10% แล้วแต่รัฐ แต่ที่ื Pennsylvania นี่รู้สึกจะ 7% หลังจากอยู่ออสเตรเลียมา 2 ปีกว่า และได้มาเจออาหารอเมริกันนี่ถึงกับน้ำตาไหล เพราะไส้กรอกเบคอนและหมูแฮม มันอร่อยเหมือนในเมืองไทย :') ไม่ได้เจอมานานแล้ว เลยล่อซะให้คุ้ม พอกินเสร็จก็ขึ้นไปรอห้อง กว่าจะได้ห้องก็เกือบเที่ยง ในที่สุดก็ได้นอนเตียงซะที...

กิจวัตรระหว่างอยู่ที่นี่ไม่มีอะไร ตอนเช้าตื่นแต่เช้า ประมาณตีสี่-ตีห้า เพราะข้าม time zone มาเยอะ ปกติไม่เคยตื่นแบบนี้มาก่อน แล้วพอถึงเวลาไปส่ง Boss ไป conference มั่ง ปล่อยให้ Boss ไปเองมั่ง (หุหุ) แล้วกลับมาที่ห้องส่วนใหญ่ดูทีวี ที่โรงแรมมีบริการแบบ pay per view ด้วย ซึ่งก็มีหนังที่เพิ่งออกจากโรงหมาดๆ และ Adult ด้วย (แต่ไม่กล้าดู มันคิดเรื่องนึงตั้งเกือบ $US20 แน่ะ) แล้วก็เล่นอินเทอร์เน็ต โรงแรมนี้มีบริการ wifi ให้ใช้ฟรีในห้องพักและที่ lobby ด้วยความเร็ว 378 kbps แต่สัญญาณในห้องมันอ่อนจัง ส่วนน้อยอ่านหนังสือ (ติดข้อสอบมาอ่าน แต่ไม่ค่อยได้อ่าน) เสร็จแล้วตอนกลางวันก็ไปหาบอสไปหาข้าวกินกัน 2 วันแรกกินข้าววันละมื้อ คือมื้อ brunch ไปหาข้าวกินก็เกือบ 11 โมงเข้าไปแล้ว แล้วก็ล่อซะเต็มคราบ เลยกินวันละมื้อพอ วันต่อๆ มาค่อยไปหามื้อเย็นกิน มีคู่มือหาของกินอยู่เล่มนึง เปิดหาร้านถูกๆ แล้วก็เดินไปกินแถวๆ นั้น มีวันนึงไปกินร้านอาหารจีนแถวๆ นั้น แบบ All you Can Eat คนละ $US6 (ยังไม่รวม vat เช่นเคย) ปรากฏว่า ห่วยแตกเอามากๆ ก็เลยเข็ดแล้ว ไปหาร้านอร่อยๆ กินดีกว่า T-T

นอกจากนี้ เกิดมาไม่เคยคิดที่จะแช่น้ำในอ่างมาก่อน มาอยู่โรงแรมนี่เปิดน้ำเต็มอ่างแช่แล้วมันสบายดีแฮะ (Boss แช่เกือบทุกวัน) แบบไม่กลัวเปลืองน้ำเลย เต็มที่ หุหุ

มีหลายวันที่ออกไปเดินสำรวจที่ทางร้านค้าแถวนั้น เดินไปจนถึงร้านหนังสือร้านนึง แล้วก็ไปเจอ Learning Python ของ Lutz เข้า ซึ่งหลังจากที่ยืมห้องสมุดมาอ่านครั้งก่อนแล้ว มันไม่เคยว่างอีกเลย ก็เลยไปอ้อน Boss ขอซื้อแบบอ้อมๆ (และได้รับการอนุมัติ :D) ก็เลยไปซื้อ ซึ่งราคาที่พิมพ์ไว้ที่ปกมัน 35.95 (vat excluded) แต่ไปซื้อจริงมันกลายเป็น 39.99 รวม vat ก็กลายเป็น 42.79 เลยหว่ะ งงๆ แต่กลับมาเช็คกับ o'reilly มันก็ 39.99 แฮะ (แล้วมันจะพิมพ์ 35.95 ไว้ทำไมวะ) เอาเหอะ แต่ก็ถูกกว่าซื้อที่ออสเตรเลียหรือเมืองไทยละกัน

คืนวันพฤหัสฯ คืนสุดท้ายก่อนต้องจาก Pittsburgh กลับไปออสเตรเลีย เราก็ออกไปหาอะไรอร่อยๆ กิน เป็นการฉลองวันแต่งงานครบรอบ 4 ปี (4 ปีแล้วรึ เร็วจัง) ที่ร้าน Six Penn (คือร้านมันอยู่ที่ Sixth Av. ตัดกับ Penn street) ท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆ โรแมนติคซะไม่มีอะ (ดูตามคู่มือแล้วคิดว่าไม่แพงมาก) สั่งอะไรมากินจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เหมือนไก่ย่างกับขาหมูเยอรมัน (แหะๆ) อร่อยใช้ได้ เสร็จแล้วก็กลับไปนอนที่โรงแรม






To be continued...

Monday, June 26, 2006

DrRider (and Boss) in the USA

อาทิตย์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปอเมริกา เพราะว่า Boss ต้องไปร่วม Conference งาน International Congress of Neuroendocrinology (ICN2006) ที่ Pittsburgh, Pennsylvania ซึ่งงานนี้เป็นงานประชุมวิชาการเกี่ยวกับเรื่องของ Neuroendocrinology (แปลเป็นไทยว่าไงหว่า... เอ่อ... วิทยาประสาทต่อมไร้ท่อ มั้ง) ก็คือเกี่ยวกับเรื่องของระบบประสาทที่ติดต่อควบคุมต่อมไร้ท่อในร่างกาย หรือกลับกัน ซึ่งคราวนี้ Boss ไปทำการนำเสนอ Poster เกี่ยวกับเรื่องที่ได้ทำวิจัยไป โดย Supervisor (ป๋า) ออกค่าใช้จ่ายให้เกือบหมด ร่วมกับมีบางส่วนที่ได้ทุนมา (แต่ค่าใช้จ่ายของผม ผมต้องออกเองนะ) ที่บางครั้งเห็นผมผลุบๆ โผล่ๆ ตามเว็บบอร์ดดึกๆ ดื่นๆ ก็เพราะว่า ตอนนั้นมันเป็นเวลากลางวันในอเมริกา :)

การเดินทางคราวนี้ที่คิดว่าน่าจะราบรื่น แต่ต้องถือว่าหืดขึ้นคอพอสมควร เริ่มด้วยคืนก่อนออกเดินทาง เกิดอาการนอนไม่หลับทั้งคู่ เพราะกลัวว่าจะตื่นไม่ทัน พอออกจากบ้านกะว่าจะขึ้นรถไฟแล้วไปต่อ Shuttle Bus (Skybus) แต่ปรากฏว่า วันอาทิตย์รถไฟมันเปิดทำการสาย =_=' เลยต้องไปแท็กซี่แทน (แพงโคตร) ซึ่งแท็กซี่ก็ดันไม่รู้จักท่ารถอีกต่างหาก วนหากันอีกนิดหน่อย เพราะท่ารถ (และสถานีรถไฟ) มันทำการปรับปรุงจนจำไม่ได้ หาไม่เจอ เอ้าก็ขึ้น Skybus ไปถึงสนามบินจนได้ รีบไป Check-in ผลปรากฏว่า ไม่มีชื่อ!!! เอาล่ะสิ ตามไปตามมาปรากฏว่า Agent ที่ทำเรื่องการเดินทางของเราดันไปจองไว้ให้วันที่ 8 June แทนที่จะเป็น 18 June เขาเลยบอกให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของ Qantas ซึ่งก็บริการเป็นอย่างดี พยายามหาเที่ยวบินให้ แต่ก็มาบอกว่า ไปได้ไกลสุดแค่ LA เพราะต่อจากนี้ไม่มีเที่ยวบินไป Pittsburgh

ระหว่างที่รออยู่ว่าจะทำไงดี ก็เห็นเพื่อนอีกคน ซึ่งจะไปงานเดียวกัน จองโดย agent คนเดียวกัน โผล่มา และ มีปัญหาเดียวกัน -_-' (นึกแล้วต้องโดน) คุยไปคุยมา Qantas เลยให้โทรไปคุยกับ agency เอง ... หลังจากเฉ่ง agency เรียบร้อยก็บอกว่าถ้าได้เที่ยวบินแล้วเดี๋ยวโทรกลับ สักพักก็โทรมา มีการเปลี่ยนแผนและเที่ยวบินเล็กน้อย โดยจากเดิม Melbourne -> LA ->Dullas -> Pittsburgh ก็กลายเป็น Melbourne -> Auckland -> LA -> Pittsburgh ที่ต้องหลายต่อเพราะว่า มันไม่มีเที่ยวบินตรงไป Pittsburgh ต้องไปลง LA ก่อนแล้วต่อสายการบินในประเทศไป Pittsburgh แต่ก็ต้องไปแกร่วรอที่ LA กว่า 10 ชั่วโมง

หลังจากได้เที่ยวบินก็ไป Check-in คิดว่าคงไม่มีปัญหา ปรากฏว่า Delay 4 ชั่วโมง -*- แล้วก็ให้ค่าอาหารมา AU$14 เป็นการขอโทษ... อ้ะๆ ไม่เป็นไร ไปกินข้าวก่อน แล้วก็เข้าไปตรวจกระเป๋า โดน jackpot อีกแล้ว... ตรวจเสร็จก็บอกว่า "คุณได้รับเลือกให้มาตรวจหาสารระเบิดครับ ซึ่งคุณจะปฏิเสธก็ได้ (แต่ปฏิเสธไม่ทัน)" ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก แค่เอาผ้ามาถูๆ ตามเสื้อผ้ากับกระเป๋า แล้วเอาเข้าเครื่องตรวจไอออนอะไรสักอย่าง ก็ผ่านฉลุย (สงสัยเหมือนกันว่า อะไรจะทำให้มันเกิด false positive ได้มั่ง) เสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปนั่งรอ รอ รอ แล้วก็รอ Boss ก็ไปหาที่เล่นอินเทอร์เน็ตไปตามเรื่อง (ทำไมที่นี่มันไม่มี wifi ให้ใช้ฟรีมั่งวะ) จนได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วก็บินไป Auckland, New Zealand ... พอมาถึงตรงนี้ ต้องลงไปตรวจกระเป๋าใหม่อีกรอบ เป็นมาตรการความปลอดภัยใหม่ ที่แค่มาแวะก็ต้องตรวจกระเป๋าใหม่ -_-' เฮ้อ เสร็จแล้วก็บินไป LA จริงๆ ซะที

เครื่องของ Qantas มีจอทีวีให้ส่วนตัว (เครื่อง Cathay ก็มี เมื่อไหร่การบินไทยจะมีซะทีวะ) และมีรายการแบบ on-demand เลือกดูอะไรก็ได้มีหนัง, ทีวีซีรี่ส์, คอนเสิร์ต ฯลฯ ให้ดู ควบคุม play, pause, back, forward ได้ด้วย :) แต่... อาหาร... ไม่อร่อย! (ก็ไม่หวังอะไรกับ Australia อยู่แล้ว)

ออกเดินทางวันอาทิตย์ประมาณบ่ายสาม เดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง ไปถึง LA ประมาณบ่ายโมงวันอาทิตย์ (ย้อนเวลาได้ หุหุ) การผ่านด่านศุลกากรอเมริกาก็ไม่มีอะไร ออกได้ง่ายๆ ยังกะดอนเมืองแน่ะ แค่ถามว่า ไม่มีอาหารอะไรติดมาด้วยนะ (ในกระเป๋าเสื้อมีลูกอมที่แจกบนเครื่องบินอยู่) ก็ตอบ No ไป แล้วก็ออกมา ไปรอรับกระเป๋าเดินทาง แล้วส่งบอร์ดขึ้นเครื่องต่อไป เราสามคนก็เดินไปอีกเทอร์มินอลนึงฟากตรงข้าม รอขึ้นเครื่องตอน 5 ทุ่มครึ่ง T-T ที่สนามบิน LA มี wifi ให้เล่น แต่ต้องจ่าย วันนึง US$ 9.50 แน่ะ ซึ่ง Boss ยอมจ่าย ไม่งั้นเบื่อตายเลย นอกจากนี้ก็ยังมีปลั๊กเป็นระยะๆ ให้เสียบ laptop ด้วยดีจัง ก็ทำการ charge laptop และ ipod เตรียมไว้สำหรับการเดินทางต่อไปด้วย พอถึงเวลาก็ขึ้นเครื่องต่อไป Pittsburgh

To be Continued...

Saturday, June 17, 2006

Kamen Rider The First -- 仮面ライダー The First

"คำเตือน SPOIL!!! นะจ๊ะ"

เมื่อวานโหลดบิตมาดูจาก TV-Nihon (English sub) ขนาด 705 MB


เนื้อเรื่องโดยย่อก็คือ มีองค์การอยู่องค์การนึงเป็นองค์การลับ ชื่อ Shocker ซึ่งคงต้องการจะครองโลกแหละ แต่้เรื่องนี้ นอกจากจะจับคนไปทำมนุษย์แปลงกับฆ่าพยานแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรอีก ที่อยู่ดีๆ ก็มาจับฮอนโก ทาเคชิไปทำเป็นมนุษย์แปลง ชื่อว่า Hopper ซึ่งโดนล้างสมองไปแล้ว แต่ปรากฏว่า เจ้าตัวเกิดฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ก่อนที่จะฆ่าคู่หมั้นของนางเอก (แต่ก็ตายจนได้ โดน Kumo Otoko ฆ่า ซึ่งแน่นอน พระเอกของเราก็ต้องโดนเข้าใจผิดประมาณครึ่งเรื่อง) ก็เลยโดนตามล่าจากองค์การในฐานะคนทรยศ ทาง Shocker ก็สร้าง Hopper ขึ้นมาอีกตัว (อิจิมอนจิ ฮายาโตะ -- ไรเดอร์หมายเลข 2) หมายจะให้จัดการฮอนโก แต่ เกิดไปหลงรักนางเอกเข้าก็เลยทรยศองค์การไปอีกคน (ตอนแรกก็ดูเหมือนต้องการจัดการฮอนโกเพราะจะแย่งผู้หญิงนี่แหละ ^^)

ทีนี้เรื่องตัดไปที่ตัวละครอีกชุด เป็นคู่หนุ่มสาวป่วยและอยู่ในโรงพยาบาลมานาน ตรงนี้ดำเนินเรื่องได้นานมากตั้งแต่ไม่รู้จักกัน จนไปเดทกัน สุดท้ายอาการทรุดซึ่งต่อมาโดน Shocker จับไปดัดแปลงเป็น Mr & Mrs งูเห่า แต่สุดท้ายตายอนาถทั้งคู่ -_-' (ดูแล้วน้ำตาจะตก มันเศร้าจริงๆ จอร์จ)

กลับมาที่ไรเดอร์ต่อ สุดท้ายนางเอกก็เข้าใจจนได้ว่า คนอย่างฮอนโกคงไม่ฆ่าคู่หมั้นเธอหรอก เพราะฮอนโกเองก็ช่วยเธอไว้หลายครั้ง แต่แล้วนางเอกก็โดนจับไปที่รัง Shocker เพื่อจะดัดแปลง แน่นอน 2 ไรเดอร์ก็เดินทางไปช่วย สุดท้ายก็ถล่ม lab ของ shocker ซะราบ แล้วก็จบแบบให้คิดว่า ถ้าเรตติ้งดี อาจจะมีภาค 2 ต่อ (ทีนี้ V3 จะมาด้วยมั้ย ^^)

เรื่องนี้ต้องบอกว่าดรามามากๆ เหมาะสำหรับเอ่อ ... จะว่าไงดีหล่ะ แบบคนที่ชอบดูละครน้ำเน่าคงชอบมั้ง -_-' สำหรับแฟนๆไรเดอร์ อาจจะไม่ประทับใจการดำเนินเรื่องก็ได้ จริงๆ การดำเนินเรื่องก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร มีฉากต่อสู้แทรกเป็นระยะๆ แต่รู้สึกเหมือนมันไปเน้นตัวประกอบเกินความจำเป็น (ก็คือ Mr & Mrs งูเห่านี่แหละ) ฉากแอคชันค่อนข้างประทับใจ มีเทคนิคพิเศษกับ CG ไม่มากนัก, มีอะไรๆ ให้นึกถึงไรเดอร์เก่าๆ เช่นพวกกีกี้ กับตอนที่พวกนี้สลายเป็นฟอง พอให้หายคิดถึง (น่าจะมีคำว่า Rider Kick! ด้วย แต่เรื่องนี้ไม่พูดอะไรกันมาก ไม่ีมีท่าแปลงร่าง ไม่มีคำว่า "เฮนชิน" ไม่มีชื่อท่าไม้ตาย ฯลฯ สู้อย่างเดียวจริงๆ ) ส่วนที่ดูโดดเด่นที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ Character design กับ Costume สุดยอดแห่งความเท่ห์ >_< การออกแบบท่าแอ็คชันก็ไม่เลว

สรุป ถ้า DVD ออกเมื่อไหร่ก็คงซื้อเก็บแหละ ^_^

Wednesday, June 14, 2006

Cheating the Firefox extension installer!

เนื่องด้วยวันก่อนได้เอา Bon Echo 2.0 alpha 3 มาลองแล้วเกิดติดใจอะไรหลายๆ อย่าง เดี๋ยวนี้ก็เลยหันมาใช้ BE เกือบเต็มตัว แต่ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อ add-ons ส่วนใหญ่มันยังไม่รับกับ BE และติด (คือต้องใช้) extensions หลายตัวในหมาย่างตัวเก่าแล้วด้วย พอหาแทนได้บ้างอันสองอัน แต่ที่อยากได้มากๆ ก็คือ right encoding นี่แหละ มันสะดวกเวลาเปิด Yahoo กับ Hotmail มากๆ ดูที่หน้าโหลด extensions มันก็ไม่สนับสนุนเวอร์ชัน 2 ซะที คือติดตั้งเสร็จแล้วเช็ค compatibility ไม่ผ่าน... กำลังคิดว่าเห็นทีต้องเขียนเอง... ก็เลยไปโหลดตัวนี้มาดูซิ ได้ไฟล์ right_encoding-0.2.1.1-fx+tb.xpi มาแตกไฟล์ด้วย zip ธรรมดาได้มาเป็น


chrome/
install.rdf


เข้าไปดูข้างในเจอไฟล์ .jar อีกอันแตกออกมาแล้วได้ไฟล์อีก 3-4 ไฟล์เป็น javascript 1 ไฟล์ ลองเปิดดูแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่อง สงสัยคงเขียนไม่ได้ :P ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ เลยไล่ๆ ดูไปว่ามีไฟล์อะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ก็ลองไปเปิดดูไฟล์ install.rdf ซึ่งเป็นไฟล์แบบ xml เต็มไปด้วย tag ไล่ไปไล่มาเจอ tag ที่เขียนว่า


<!-- Firefox -->
    <em:targetApplication>
        <description>
            <em:id>{ec8030f7-c20a-464f-9b0e-13a3a9e97384}</em:id>
            <em:minversion>0.9</em:minversion>
            <em:maxversion>1.5.0.*</em:maxversion>
        </description>
    </em:targetApplication>



เลยลองเปลี่ยนเลขเวอร์ชันตรง <em:maxversion>1.5.0.*</em:maxversion> ให้เป็นเวอร์ชัน 3 ซะ เซฟไฟล์แล้วก็ zip กลับไปแบบเดิมเป็นไฟล์ *.xpi แล้วก็ติดตั้งกับ Bon Echo ไปตามปกติ ผลปรากฏว่า คราวนี้ผ่านฉลุย :D ตอนนี้ก็มี right encoding ใช้เป็นที่เรียบร้อยใน Bon Echo ซึ่งเท่าที่ลองตอนนี้ยังไม่พบปัญหาใดๆ

การโกงคราวนี้กับ extension ทั่วไปที่ไม่ได้ขึ้นกับ chrome หลักของ Firefox คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็น theme อาจจะมีผลเพราะหน้าตาของ Bon Echo ต่างไปจาก Deer Park นิดหน่อย (ยังไม่ได้ลองครับ)

สรุป เดี๋ยวลองไปทำแบบนี้กับ extension เก่าๆ ทั้งหลายดูดีกว่า :D

Tuesday, June 13, 2006

Socceroos beats Samurai!!!

เมื่อวานออสเตรเลียทำได้ดีเกินคาดแฮะ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ดันเอาชนะญี่ปุ่นได้ตั้ง 3-1 แน่ะ ทั้งๆ ที่เพิ่งติดบอลโลกครั้งแรกในรอบ 32 ปี [แก้ไข -- ดีที่คุณหน่อยบอกนะเนี่ย] (จริงๆ เมื่อคืนเชียร์ญี่ปุ่นอยู่) เท่าที่ดูเมื่อคืนรู้สึกออสเตรเลียเล่นเกมบุกได้ดีแฮะ มีเสียวๆ หน้าประตูญี่ปุ่นเยอะมาก แต่โดนญี่ปุ่นนำไปก่อน 1-0 (โกลโดนผลัก... แต่ก็ได้ประตูล่ะวะ) นึกว่าออสเตรเลียจะจอด แต่ปรากฏว่านอกจากเอาคืนได้ในช่วงท้ายๆ ของครึ่งหลังแล้ว ยังนำต่อไปอีก 1 ประตูซะนี่ แถมด้วยอีก 1 ประตูสุดท้ายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ กลายเป็น 3-1 (สงสัยญี่ปุ่นหมดแรง)


(picture from Herald Sun)

ออสเตรเลียเล่นโหดพอสมควร โดนใบเหลืองไป 2 ใบแต่ยังไม่เท่าที่ดูอังกฤษกับปารากวัยวันก่อน ทางนู้นโหดหว่าเยอะ เตะกันล้มระเนระนาด :-P

ปกติที่ออสเตรเลียนี่ไม่ค่อยนิยมฟุตบอลแบบที่ทั่วโลกเค้านิยมกัน หากแต่ว่ามีฟุตบอลของตัวเอง (Aussie Rules) หรือเรียกอีกอย่างว่า footy ใช้บอลคล้ายๆ รักบีใช้มือจับ พาลูกไปด้วยการเลี้ยง (จับวิ่งไป แล้วเด้งกับพื้นเป็นระยะๆ) ส่งลูกได้ 2 วิธีคือเตะ กับชก ไม่มีกฎหยุมหยิม ไม่มีล้ำหน้า ไม่มีลูกเข้าประตูตัวเอง ดำเนินเกมเร็ว ประตูเป็นเสาสูง 4 ต้น ถ้าเข้าระหว่าง 2 ต้นกลางได้ 6 แต้ม เข้าข้างๆ ได้ 1 แต้ แล้วก็มีกฎเรื่อง free kick อะไรอีกนิดหน่อย ตอนแรกๆ ดูไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ชักเริ่มสนุก ส่วนฟุตบอลที่ชาวบ้านรอบโลกเขาเล่นกัน ที่นี่เรียก soccer

เอาเป็นว่า นอกจากที่ออสเตรเลียจะติดบอลโลกในปีนี้ แล้วยังเอาชนะญี่ปุ่นได้อีก ต้องถือว่า สร้างปรากฏการณ์สุดๆ ต่อไป soccer league ในออสเตรเลียคงจะเริ่มฮิตเป็นแน่แท้

รอบต่อไปเจอกับบราซิล ดูแล้วไม่ค่อยเห็นทางรอดเลยแฮะ -_-' แต่ก็ไม่แน่ อาจจะเจ๋งก็ได้ ต่อไปเชียร์ออสเตรเลียดีไหมหว่า (เดี๋ยวเชียร์แล้วมันแพ้)

Go! Socceroos!!!!

Sunday, June 11, 2006

ขอจงทรงพระเจริญ

เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ ๖๐ ปี ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน




ปล. ไม่ได้ดูอะไรซักอย่าง ทั้งนิทรรศการที่เมืองทอง ทั้งถ่ายทอดสดเมื่อวันก่อน จะเปิดดูออนไลน์ก็เข้าไม่ได้ สงสัยมันเต็มแบนด์วิดธ์ เฮ้อ... T-T
แต่ยังดีที่ได้ดูโฆษณาซึ้งๆ (โหลดมาดูได้)

ปล.2 ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย

Monday, May 29, 2006

Bon Echo 2.0 Alpha3

หลังจากเมื่อวานถูกหลอกให้โหลด Bon Echo Alpha3 แต่คอมไพล์แล้วได้เป็น Firefox 1.5.0.4 ไปนั้น ผมก็ได้แจ้งไปที่ mozilla แล้วทางนู้นก็ confirm (เขาก็ยังงงๆ เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น) แล้วก็ upload ตัวใหม่ขึ้นไปบน server เรียบร้อย ผมก็ลองไปโหลดมา แล้วให้คอมไพล์ทิ้งไว้ แล้วออกจากบ้านไป กลับมาตอนเย็น ลองเรียกดูเวอร์ชัน ปรากฏว่าโดนหลอกอีกรอบ -_-' เลยย้อนไปดู bug report ก็เห็นว่า เขา upload ตัวใหม่ขึ้นไปอีก 2 ตัวซึ่งตัวสุดท้ายมี md5sum คือ 50fc7a086d7911d5d1341df7bffe8d56

เอาหล่ะ ก็โหลดตัวนี้แหละ แล้วก็เอามา build ทีนี้ได้ alpha 3 ตัวจริงสมใจซะที ... เฮ้อ

feature ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก็ไปอ่านที่นี่แล้วกัน (สนับสนุนกันสุดๆ ) ยังไม่สามารถลองได้หมด ว่าเป็นยังไง เลย review ให้ไม่ได้ว่าแต่ละ feature เป็นไง แต่ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่ชินกับการที่ปุ่มปิด tab มันย้ายไปอยู่ที่ tab ทุก tab เลยอะ ปิดผิดอย่างบ่อย =_=' โดยเฉพาะเวลาเปิด tab จนเต็ม bar น่าจะให้มีแต่เฉพาะ tab ที่ active เนาะ ไม่รู้เรื่องนี้มีคนเคยเถียงกันใน bug report รึเปล่า

ส่วนใครต้องการ Bon Echo Alpha3 + libthai บน Linux เชิญดาวน์โหลดได้ที่นี่ เลยครับ

จากคราวที่แล้วที่บอกว่าให้สร้าง user ใหม่นั้น mk ได้มาชี้ทางสว่างให้โดยการเรียก profile manager ขึ้นมาเพื่อสร้าง profile สำหรับลองด้วยคำสั่ง
./firefox -profilemanager


และสามารถเรียกใช้ profile ที่ตั้งไว้ด้วยคำสั่ง
./firefox -P [profile]

โดยที่ profile คือชื่อของ profile ที่เราได้ตั้งเอาไว้ครับ

จบ.

Saturday, May 27, 2006

Bon Echo 2 alpha2

เมื่อคืนลองโหลด source ของ Bon Echo Alpha2 มาลอง build ด้วย patch libthai ดู ก็ไม่มีปัญหา ผ่านฉลุย วันนี้ก็เลยมาลองเล่นกันดูหน่อย ...

โดยรวมดูไม่ค่อยต่างอะไรจาก 1.5 นัก ตัดคำไทยได้ดีผ่าน libthai ซึ่งยังคงปัญหาตัวอักษร newline ท้ายบรรทัดและเคอร์เซอร์กระโดดไว้เหมือนเดิม -_-" เรื่องว่า Bon Echo มีอะไรใหม่จะไม่เขียนละ มีคนเขียนเยอะแล้ว อ่านเอา ที่นี่ ละกัน แต่ชักชอบคุณสมบัติหลายประการของ Bon Echo ซะแล้ว ได้แก่
  • ช่อง search bar ที่ปรับปรุงการจัดการ search plugins ได้ดีขึ้น
  • รวม themes กับ extensions เป็นไดอะล็อกเดียวกัน (แยกด้วย tab) เรียกว่า add on
  • เรื่องการรับ feed ที่ยอมให้ใช้ external application ได้ (แต่เราก็ใช้ Live Bookmark อยู่ดี โปรแกรมรับ rss มัน freeze บ่อย สงสัยต้องเปลี่ยน distro ชักเซ็ง)
  • microsummaries ที่เปลี่ยนชื่อ bookmark ให้กลายเป็นหัวเรื่องใหม่สุดในเว็บ (ลองกับบล็อกนั้นแล้วไม่มีปัญหา)
  • plug-ins ทั้งหลาย ทั้ง AdobeReader, Java, flash และ mplayer ยังสามารถทำงานกับเวอร์ชันนี้ได้แบบ seamlessly
แต่ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ
  • มันย้ายปุ่มปิด tab ไปอยู่ที่ tab แต่ละอัน เข้าใจว่าคงเพื่อป้องกันความสับสนในการปิด tab แต่ผมไม่ชิน (เดี๋ยวถ้าชินแล้วคงรู้สึกดีมั้ง)
  • themes และ extensions มากมายยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับ Bon Echo ได้ สรุป คงต้องใช้ DeerPark ไปก่อน (มี flashgot นี่แหละใช้ได้)
อื่นๆ ยังลองไม่หมด มันก็ออก Alpha3 มาแล้ว T-T

ก็ลองไปโหลด source มา build ดูเหมือนเดิม แต่ build เสร็จได้เป็น FF 1.5.0.4 -_-' อย่างงง??? ซึ่งตัวที่โหลดมาเป็น firefox-2.0a3-source.tar.bz2 และ md5sum คือ

6f6d2ef43a6e2baf4df0d8e8dc5cb9c3 firefox-2.0a3-source.tar.bz2


ff-1.5.0.4

เอาเป็นว่าใครอยากลอง Bon Echo alpha2 + libthai เชิญลองได้ ที่นี่ ครับ เดี๋ยวถ้าได้ source ของ alpha3 จริงๆ มาจะลอง build อีกที

Discalimer:
Bon Echo + libthai ถูก build จาก source ของ mozilla โดยยังเป็นเวอร์ชันที่กำลังพัฒนาอยู่ หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ผมไม่ขอรับผิดชอบนะจ๊ะ หากต้องการลอง แนะนำให้สร้าง user ใหม่เพื่อลอง มิฉะนั้นมันจะตีกับ 1.5 (เออ ว่าแต่ profiles นี่มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า ถ้าสร้าง profile ใหม่ได้ก็คงไม่ต้องสร้าง user ใหม่มั้ง)

bonechoa2-01


bonechoa2-02

Friday, May 26, 2006

Firefox 1.5.0.3, linux, libthai

ว่าแล้วก็ build Firefox 1.5.0.3 ตัดคำด้วย libthai จาก patch ของคุณเทพ เอง เพราะ PCLOS มันไม่มีให้ใช้ ใครต้องการดาวน์โหลดเชิญที่นี่นะครับ (ถ้ามีใครใจดีช่วย mirror ให้ด้วยก็ขอบคุณมากครับ)

กำลังคิดว่าอีกไม่นานคงจะต้องเป็น 1.5.0.4 แหงๆ -_-'

เดี๋ยวลอง build Bon Echo alpha ดูดีกว่า :)

Saturday, May 20, 2006

ลอง BSD

โบราณว่าไว้ว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ อย่างที่เขียนไว้คราวก่อนว่าชักสนใจ BSD อย่ากระนั้นเลย ลองดูซะดีกว่า...

เรื่องของเรื่องคือวันนี้เปิดไปดูบล็อกของคุณ Kitty ว่าด้วยเรื่อง qemu เวอร์ชันล่าสุดที่สามารถทำ virtualization ได้ ก็เลยอยากลองดู เพราะโหลด PC-BSD มาดองไว้ 2 อาทิตย์แล้ว ยังไม่ได้ทำแม้แต่เผาแผ่น ทีนี้ พอเริ่มมีแรงบันดาลใจก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเล็กน้อยที่ thailinuxcafe.com ที่คุณ wd เคยเขียนถึงไว้ อ่านไปอ่านมา ไหงต้องคอมไพล์เคอร์เนลใหม่หว่า เพราะมันคอมไพล์ kqemu เป็น kernel module ได้ แล้วก็ modprobe เอา

เป็นอันสรุปว่าไปโหลด qemu และ kqemu ตัวใหม่มาจัดการ compile ติดตั้งได้เรียบร้อยก็ลงมือ... ติดตั้ง PC-BSD โดยการสร้าง image ไฟล์ก่อนขนาด 4.5G (เพราะตาม system requirement ของ PC-BSD บอกว่าใช้อย่างน้อย 4GB รวม swap) ตรงนี้มีปัญหาเล็กน้อยเพราะ partition /home มันใช้ไปเยอะแล้วเหมือนกัน ไม่พอใช้เลยต้องใช้ /root แทน (จริงๆ ก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก เด็กๆ อย่าทำตามนะจ๊ะ) เอาหล่ะ ทีนี้พอสร้าง image เรียบร้อยก็ลงมือติดตั้ง
ใส่แผ่น PC-BSD เข้าไปในไดรฟ CD แล้วก็

# qemu -hda pcbsd.img -cdrom /dev/cdrom -boot d -m 256


qemu ก็เริ่มบูตแผ่นแล้วเข้าหน้าจอติดตั้ง อย่างรวดเร็ว ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ เลือกติดตั้งลงบนฮาร์ดดิสก์ (จำลอง) แบบ dedicate แล้วก็ติดตั้ง bootloader รอประมาณครึ่งชั่วโมงได้ การติดตั้งก็เรียบร้อย ตรงนี้ขอบอกว่าการติดตั้งง่ายแบบกดแค่ 4-5 คลิก แล้วก็เรียบร้อย รอให้มันกก็อปไฟล์ลงฮาร์ดดิสก์ การติดตั้งสามารถเลือกใช้ภาษาไทยด้วย แต่ใช้ font fixed สระ-วรรณยุกต์เลื่อนกระจุย เลยอ่านไม่รู้เรื่อง T-T สรุปใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า สงสัยต้องแจ้งเป็น bug ไปอะ

ติดตั้งเสร็จก็ปิด qemu เอาแผ่นออก แล้วเรียกให้ qemu ทำการ boot image ของ PC-BSD

# qemu -kernel-kqemu -hda pcbsd.img


เรียบร้อย.. รอบูต... ขอบอกว่าบูตใน qemu นี่ยังเร็วมาก ไม่เกิน 30 วิ ท่านก็จะได้หน้าจอล็อกอินของ kdm ขึ้นมา แต่มันห้ามล็อกอินเป็น root เอ้า ไม่เป็นไร ก็ลองด้วย user ปกติก็ได้ แต่กว่าจะเข้า desktop ได้นานเหมือนกันนะ ปัญหาอาจจะเป็นที่ PC-BSD ใช้ driver vesa ตามปกติกับเครื่องของผมก็ได้ ยังไม่ได้ปรับแต่งอะไร (ใน pclos กำหนดไดรเวอร์เป็น i810) เข้ามาแล้วอะไรๆ ก็ช้าไปพอสมควร ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เมาส์กระตุกเล็กน้อยพอให้รำคาญ ทีนี้พอเริ่มทำการ explore ปรากฏว่าเอ๋อเล็กน้อย เพราะว่าระบบบางประการมันไม่เหมือน linux เช่น มันไม่มี runlevel, ไม่มี /etc/inittab เป็นต้น (แต่มีโปรแกรม init นะ แล้วก็ยังมีโหมดคนโสดด้วย -- single mode) ไม่รู้ว่ามันสั่งเริ่ม service ที่ไหน ยังไง (คาดว่าเป็นไฟล์ /etc/rc), ls ไม่มีสี T-T ดูลำบาก ต้องสั่ง ls -l ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นไดเร็คทอรี ใช้ shell อะไรก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ ไม่ใช่ bash แล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเยอะพอสมควร มันไม่คุ้น

ทีนี้มาเรื่องโปรแกรม จากคราวที่แล้วจะเห็นว่า มันให้อะไรๆ มาไม่ค่อยสะใจ แถม pbi (ยังไม่ได้ลอง) ก็ค่อนข้างเก่าๆ ทั้งนั้นด้วย เลยตัดสินในว่า ใช้ ports ดีกว่า โปรแกรมท่าจะสดดี เพราะว่าเป็นของ FreeBSD 6 เริ่มด้วยการไปดู FAQ ของ PC-BSD ก่อน บอกว่า ยังไม่มี ports tree ต้องทำการ update ก่อนด้วย CVSup ทีนี้ ตอนที่สั่ง qemu ทำงานไม่ได้ตั้งค่าเครือข่ายใดๆ ทั้งสิ้นเลยคิดว่า สงสัยใช้ไม่ได้ (ขณะที่ run qemu อยู่นี้ บน PCLOS ติดต่ออินเทอร์เน็ตด้วยการ์ด wireless ผ่าน ndiswrapper) แต่ลองเปิด Konqueror ดูซึ่งมันตั้งหน้าแรกไปที่เว็บของ PC-BSD ปรากฏว่า เฮ้ย เข้าได้เฉยเลย ไม่รู้ว่า qemu มันจัดการ resource ยังไง แต่มันแจ๋วมากเลยจอร์จ m(_ _)m ยอมรับเลย ได้เรื่องได้เรื่อง เอาหล่ะ update ports ดีกว่า ด้วย

# cvsup -g -L 2 /root/ports-supfile


แล้วรอมันโหลด ports tree ประมาณครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วทดลองติดตั้งโปรแกรมที่อยู่ใน ports ซักตัว เลือกเอา autoconf-2.13 ละกัน เผื่อต้องใช้เวลาจะโหลดอะไรมาคอมไพล์ในอนาคต เราก็เข้าไปที่ไดเร็คทอรีของ ports tree แล้วก็สั่งติดตั้ง

# cd /usr/ports/devel/autoconf213
# make install clean


ซึ่ง ports จะทำการตรวจหา dependencies แล้วโหลดมาทำการคอมไพล์และติดตั้งให้พร้อมกัน ชักชอบแล้วสิ ^^ มิน่า gentoo ถึงเอาระบบนี้ไปดัดแปลงใช้ (portage) เสร็จแล้วมันก็จัดการ clean ให้เรียบร้อย

วันนี้พอแต่เพียงเท่านี้ก่อน เพราะเริ่มรำคาญความอืดในการใช้งาน แถมหน้าต่างมันเกินจอ คราวหน้าสั่ง fullscreen ดีกว่า เอาเป็นว่า เริ่มเบี่ยงเบนใจไปให้ BSD นิดนึงแระ (จะมีใครว่าเราหลายใจมั้ยเนี่ย หุหุ ^^)

Friday, May 05, 2006

ชักอยากลอง BSD ซะแล้ว

หลังจากลง PCLOS มาพอสมควร จริงๆ ก็ชอบแหละ แต่รู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์ซะทีเดียว เรื่องใหญ่ๆ ก็คือเจ้า Konqie และผองเพื่อนใน package เดียวกันมันแข็งตัว (freeze) บ่อยเกินไป ถึงแม้ว่าจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้ซะเท่าไหร่เพราะ หันไปใช้หมาย่างซะมาก (แต่ช่วงที่เพิ่งลง Yoper 3 ใหม่ๆ ยังไม่มีหมาย่างใช้นี่ชมชอบในความเร็วของ Konqueror เลยนะแล้วมันก็ไม่ freeze ด้วย) ตอนนี้ก็เลยลองมองหาระบบปฏิบัติการคู่ใจจากดิสโทรวอชอีกสักหน่อย ซึ่งตอนนี้ ถึงแม้ว่ากระแส Ubuntu จะมาแรง แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ไม่ค่อยชอบเกาะกระแสเลยไม่ค่อยอยากใช้ Ubuntu อย่างนึงคงเพราะแกเล่นออกทุกประมาณ 6 เดือน แถมการ apt-get dist-upgrade ก็ค่อนข้างอันตรายต่อการทำให้ระบบ messy เลยทำให้รู้สึกเหมือนว่ามันไม่ stable ซักทีไม่เอาดีกว่า (จะใช้ Debian เลยมันก็นิ่งเกินไป -_-' อยากได้แบบกลางๆ)

ทีนี้หาไปหามา หันไปเจอ PC-BSD ซึ่งออกเวอร์ชัน 1.0 พอดิบพอดี ก็เลยตามไปดูที่เว็บ เห็นว่าน่าสนใจดี โดยตัวนี้จะใช้ FreeBSD 6.x เป็นฐาน และมีระบบจัดการแพ็คเกจที่น่าสนใจมากคือ pbi ทำให้เราสามารถติดตั้งและลบ package ได้เหมือนหน้าต่างเป๊ะ และมีให้เลือกมากพอสมควร (แต่ยังไม่พอ) โดยที่เราก็ยังสามารถใช้ ports ในการติดตั้งแพ็คเกจได้เหมือน *BSD ปกติอีกด้วย (ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง ports นัก ขอลองไปอ่านคู่มือก่อน) นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุนแปล installer ให้เป็นภาษาไทยอีกด้วย

แต่! ข้อเสียก็คือ ไม่รู้ว่าใช้ File system อะไร มันไม่บอก ??? ใครรู้ช่วยบอกหน่อยครับ คือตอนนี้แยก partition (หรือ slice ตามภาษา BSD) เป็น Home ไว้ด้วย เวลาลงใหม่จะได้ไม่หาย เกิดท่านอ่าน/เขียน reiserfs/ntfs ไม่ได้เดี๋ยวเจ๋ง อีกอย่างคือรู้สึกว่ามี package ไม่ค่อยจุใจผมเท่าไหร่ พวกไลบรารีมาตรฐานอย่าง gtk ก็ไม่ได้ให้มา รวมทั้งไม่ได้ให้พวกแพ็คเกจ developer/SDK มาด้วย (คือ ถ้ามีมาให้ก็ build แพ็คเกจเองก็ได้) ดูรายนาม package ได้ที่นี่ แล้ว pbi packages ที่มีอยู่ก็รู้สึกเก่าๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ อีกอย่างคือ ไม่รู้ว่าสามารถทำงานกับ linux binary ได้ดีไหม คือรู้มาว่าสามารถใช้งาน linux binary ได้ผ่าน linux layer หรือไงนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (emulation?) เลยต้องเก็บเอาไว้ก่อน โหลดมาแล้ว แต่ยังไม่ได้เผาแผ่น เดี๋ยวถ้าอ่านคู่มือแล้วแน่ใจเมื่อไหร่ อาจจะลองดู

ว่าแต่! ใครใช้ตระกูล BSD ช่วยเข้ามาเม้นให้ผมสว่างๆ หน่อยเหอะ ตอนนี้กำลังงงๆ ว่าจะลองย้ายค่ายดูดีไหม :D

จบ...

Monday, April 24, 2006

ผ่าน MCQ แล้ว เย้!!

หลังจากรอผลสอบมา 1 เดือนเต็ม วันนี้ผลสอบส่งมาถึงที่บ้านตอนเกือบบ่าย... (ทีแรกคิดว่ามันจะมาวันพฤหัสหรือศุกร์ที่แล้วซะอีก เล่นเอาได้ลุ้นต่อไปอีก 3 วัน)

พอเปิดซอง... สิ่งแรกที่เห็นคือ กระดาษเหมือนใบสมัครสีฟ้าๆ (ยังไม่ได้คลี่) นึกในใจ เฮ้ย กรูต้องสอบอีกรอบรึเปล่าวะ แล้วก็ค่อยๆ คลี่ออกมา เห็นกระดาษมีข้อความเกี่ยวกับกำหนดการสอบ Clinical ... ก็หมายความว่า.. ว่า.. ว่า... (เดี๋ยวก่อน)
ก็หยิบใบแจ้งผลสอบออกมาดู

PASS


นึกในใจ OH YES!!

แล้วก็เอามานั่ง ที่โซฟาห้องรับแขก เพื่ออภิเชษฐ์ (Appreciate) กับผลสอบของตัวเองอีกพักนึง ... ทั้งหมดได้เกินครึ่ง (ไม่งั้นคงไม่ผ่าน) แต่ ob-gyn ได้น้อยไปหน่อยแฮะ 50% พอดีเลย เกือบ -_-' ได้ psychi 70% แน่ะ นึกๆ ดูก็พอๆ กับสอบ comprehensive ตอนจบปี 6 แต่อันนี้เครียดกว่า

แล้ว boss ก็เรียกเข้าไปในห้อง เพื่อจะกอด :D เราก็ทำเนียนๆ ถามว่า

me: ตกลงวันนี้ออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกกันมั้ย (ตอนเช้า boss ชวนทีนึงแล้ว)
boss: เอาสิ

แล้วเราก็ทำหน้าบานยกแขนขึ้น 2 ข้างร้องว่า
me: "ผ่านแล้ว!! เย้"
boss: "เย้.....เอามาดูหน่อย"
boss: "นี่ถ้าไม่เรียกเข้ามาจะบอกมั้ยเนี่ย"
me: "บอกดิ แหม เรื่องงี้ไม่บอกได้ไง"

แล้วก็กอดกันกลมกลิ้งไปกลิ้งมา... :D

เป้าหมายต่อไป Clinical exam คราวนี้ของจริงละ ว่าจะสมัครลงคอร์ส (ราคาถูก) สักคอร์ส ก่อนไปสอบ

จบดีกว่า :D

Wednesday, April 19, 2006

ตามเก็บ KDE

วันนี้ตามเก็บ kdebase ให้หมด 100% เดี๋ยวต่อไปถึงคิว kdelibs (สงสัยจะไม่ไหว เพราะมีปัญหาเรื่องชื่อสี ชื่อเมือง ชื่อประเทศ ฯลฯ ตรึม)

อืม ลองกลับไปดูที่แปลเก่าๆ ไว้ อ่านไม่เข้าใจเยอะเหมือนกัน จนต้องแก้ใหม่ไปหลายตัว นอกจากนี้ก็มีปัญหาเรื่องชื่อโปรแกรมที่ไม่ได้ตกลงกันซักทีว่าจะแปลชื่อดีไหม (บอกตรงๆ ว่าแปลชื่อโปรแกรมแล้วมันแปลกๆ เลยไม่อยากแปล ปล่อยมันไว้งั้น) คือถ้าจะแปลก็ควรจะแปลให้หมดทุกโปรแกรม อาจจะต้องมาตามเก็บอีกรอบ -_-'

เอาเหอะ ยังไงๆ ตอนนี้ก็คิดว่าผ่านมาตรฐานการ release ได้แล้ว
  • kdelibs.po 90% --> เก็บที่เหลือๆ หมดเรียบร้อย 100%
  • desktop_kdelibs.po 100% --> เสร็จแล้ว
  • desktop_l10n.po 100% --> เสร็จแล้วเหมือนกัน
  • และ package ใน kdebase > 75% ตอนนี้เก็บหมดแล้ว 100%
หวังว่าภาษาไทยคงจะได้ออกพร้อมรีลีสถัดไปซะที เฮ้อ

เอ้า สู้ต่อไป...

Thursday, April 13, 2006

PCLinuxOS

ก่อนหน้านี้ใช้ Yoper มานาน แต่ package ที่ใช้อยู่มันเก่ามากแล้ว และไม่มีการ update package สำหรับเวอร์ชันเก่าอีกต่อไปแล้ว แถมไปใส่นู่นนี่เพิ่มจนระบบมัน messy มากแล้วก็รวน ก็เลยตัดสินใจ upgrade เป็น 3.0 beta (Blacksand) แต่เนื่องจากบักมันยังเยอะอยู่ ถึงแม้จะเร็วมาก(สุดๆ เลย) แต่ยังตอบสนองหน้าที่การงานได้ไม่เต็มที่ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนดิสโทร จนเกิดเรื่อง อย่างที่เขียนไปคราวก่อน -_-' ทีนี้เอาใหม่ กลับไปดูที่ thailinuxcafe.com เห็นว่ามีคนเชียร์ PCLinuxOS เยอะดีโดยเฉพาะเรื่อง Multimedia นี่พร้อมสรรพสำหรับคุณ (โดยคุณ T-X และซีต้า) เลยลองเปลี่ยนมาใช้ไอ้นี่ดูดีกว่า ก่อนหน้านี้เคยใช้ P91 ที่เป็น LiveCD มาแล้ว แต่มีปัญหาเรื่องภาษาไทยนิดหน่อย คราวนี้เลยโหลด P92 มาเผื่อว่าจะดีขึ้น บูตเข้า LiveCD เสร็จก็จัดการลง HDD เลย ง่ายดี (ง่ายเกินไป?) tools สำหรับติดตั้งลงฮาร์ดดิสก์ใช้ได้เลย เข้าใจง่าย ตัวแบ่งพาร์ติชันก็ใช้ง่าย (มาจาก Mandriva ใช่ไหมเนี่ย) และใช้ reiserfs ได้ด้วย แต่มันไม่ค่อยชินปกติ fdisk กะ qtparted ลงเสร็จบูตเข้ามาได้สวยงาม และสามารถตรวจสอบฮาร์ดแวร์ของเราได้ถูกต้อง เสร็จไป 1 เปลาะ

หลังจากเปลี่ยนมาใช้ได้ซักพัก รู้สึกดีกับดิสโทรนี้มากเหมือนกันแฮะ เสียแต่ว่าไม่มีเอกสารเรื่องการตั้งค่าภาษาไทย แถม locale ของ glibc ก็ดันอยู่แยกกันต้องลงต่างหากอีกที ปล้ำกับเรื่อง locale อยู่นานมากแต่พอลงครบแล้วปรากฏว่าตั้งภาษาไทยง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยแฮะ ใช้เครื่องมือเปลี่ยน locale ชื่อ localedrake (เข้าใจว่าคงมาจาก mandrake) แล้ว KDE อ่านภาษาไทยได้ทันที ตอนนี้กำลังหาอยู่ว่า locale ของ GTK มันไปซ่อนอยู่ที่ไหน -_-' นอกจากนี้มันก็แยก package เป็นโปรแกรมกับ โปรแกรม-devel (ไม่ชอบก็ตรงนี้แหละ มันลำบากเวลาจะคอมไพล์โปรแกรมต้องตามหาชุด -devel มาให้ครบ)

แต่เอาเหอะ หลังจากลงเสร็จแล้วก็ apt-get dist-upgrade เรียบร้อยบวกกับลง libthai, pango-libthai แล้วก็ได้ KDE 3.5.2 มาใช้ ลองใช้ดูค่อนข้างประทับใจ ยกเว้นว่า Konqueror กับพวก editor ที่อยู่ใน kdebase เกิดอาการแข็งตัว (freeze) กระจาย ขนาดจะเข้า thailinuxcafe webboard ยังแข็งเลย... (ไม่รู้ว่าบักที่ไหน คาดว่าจะเป็นที่การคอมไพล์ package ของ PCLOS เองมั้ง ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า) เอาละ ก็เลยต้องกลับมาใช้หมาย่าง(Firefox -- แต่จริงๆ มันเป็นแพนดาแดงนะ)ซึ่งทาง PCLOS เตรียม 1.5.0.1 มาให้แต่ก็แน่นอนว่ามันไม่สามารถตัดคำไทยแบบ out of the box เหมือน Ubuntu (อิจฉาเล็กๆ) ก็เลยต้อง build ใหม่เองรวมกับ patch libthai ใช้เวลา 45 นาทีก็ได้ FF 1.5.0.1 ตัดคำไทยด้วย libthai ออกมาใช้ (ยังคงมีบักแบบเดิมนะครับ เคอร์เซอร์ใน text edit area กระโดด แล้วก็มีตัวอักษรแปลกๆ เหมือนเป็น newline character โผล่ออกมา) แล้วก็ทำการปรับแต่ง script สำหรับเรียก firefox อีกนิดหน่อยได้แก่ path สำหรับเรียกโปรแกรมและปลักอินก็เรียบร้อย (ขี้เกียจลงปลักอินใหม่ ของ PCLOS ให้มาหมดแล้วดีจัง :D)

เนื่องจาก PCLOS ท่านสร้าง Kmenu ของท่านเอง ทำให้ผมหาอะไรไม่ค่อยจะเจอว่ามันเอาไปเก็บไว้ที่ไหนฟระ กว่าจะหาเจอนี่แทบแย่ ไล่ดูมันทีละเมนู ไอ้พวกโปรแกรมที่มันพื้นฐานก็หาเจอหรอก แต่โปรแกรมเฉพาะบางอย่างนี่ดันเอาไปเก็บไว้ผิดที่ ตัวอย่างเช่น KBabel ที่เอาไว้แปลไฟล์ .po ซึ่งปกติ KDE จะรวมมาไว้ที่ kdevelop (เพราะมันเป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอพพลิเคชัน) แต่พี่ท่านดันเอาไปไว้ที่ Office>Accessories กรูละงง หรือพวกโปรแกรมกราฟิก ท่านเอาไปรวมกับ Multimedia เล่นเอาหาไม่เจอเลย หรือ Super Karamba ท่านเอาไปไว้ที่ Monitor คือก็เข่้าใจว่า theme ส่วนใหญ่ที่มีคนเขียนขึ้นมาเนี่ย มันเอาไว้ monitor ระบบ แต่ KDE ก็จัดมันไว้ที่ kdeutils สรุปว่า หาไม่เจอ ก็ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยพักใหญ่เหมือนกัน อีกเรื่องคือ เดี๋ยวนี้เขาไม่ build kdebase โดย enable samba กันแล้วเหรอ? ตอนยังใช้ Yoper มัน Access เครื่องวินโดวส์ในบ้านโดยผ่าน Konqueror ได้เลย อะ เดี๋ยวนี้ต้องเข้าผ่าน smb4k เห็นมาหลายดิสโทรแล้ว แล้วก็ browse LAN ไม่ได้เพราะไม่ได้เปิด lisa

แต่ส่วนที่ชอบนี่มีเยอะ
  • สวยดี มี kwin, style builtin มาให้เลือกแต่งเยอะ มีกระทั่ง Baghira
  • ให้ plugins ของ Firefox มาพร้อม ไม่ต้องไปตามโหลดมาใส่เอง (ไม่รู้จะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่า)
  • Multimedia พร้อม -- เล่น MP3, Ogg, m4a (AAC) ที่แปลงมาจาก iTunes, DVD, VCD ฯลฯ ได้ทันทีโดยไม่ต้องไปตามหาตัว codec มาลงเองเหมือนบางดิสโทร
  • upgrade package ง่ายผ่าน apt (อันนี้ไม่มีอะไรใหม่ หลายดิสโทรก็ใช้)
  • ชอบ YaKuake terminal emulator จัง มันเปิดหน้า terminal เหมือนเปิด console ในเกมส์พวก Half-Life หรือ Quake อะ เปิดหน้าลงมาหรือหดกลับขึ้นไปด้วย F12
  • เข้าไปที่ partition ของวินโดวส์ได้โดยเป็น user ธรรมดา (แต่กลุ่ม root) แล้วก็อ่านภาษาไทยออกด้วย T^T ดีจัง (ตอนใช้ Yoper ต้องเป็น root ไม่งั้นเข้าไม่ได้)
  • เปลี่ยน bootsplash ได้ง่ายนิดเดียว
  • ชอบ KDE splash theme ที่ให้มาจัง เป็นรูปตรวจสอบลายนิ้วมืออะ ชื่อ FingerPrint

splash

  • พอใส่ libthai เข้าไป เกือบทุกโปรแกรมใน KDE ตัดคำไทยได้หมด (ขอบคุณคุณเทพ กับคุณ ott ด้วยที่ช่วยผลักดันภาษาไทยเข้า Qt :D) ยกเว้น scribus ไม่รู้มันใช้อะไรตัดคำ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่ Qt
  • apps ตรึม แทบไม่ต้องไปหาอะไรมาเพิ่ม (นอกจาก upgrade)
จบแล้ว คราวหน้ามา hack หน้า about: กับ about/credits dialog ของ FF กันดีกว่า ฮี่ๆ

Tuesday, April 11, 2006

Back on track, Woo Hoo!!

ได้เวลากลับมาแปล KDE ต่อแล้ว... หลังจากหยุดไปพักนึง อ่านหนังสือเตรียมสอบ (ซึ่งตอนนี้ก็ยังเสียวๆ สันหลังอยู่เหมือนกัน แต่ดีกว่าเดิมหน่อย)

คราวนี้จะเอาให้ภาษาไทย ออกไปพร้อมกับ release ถัดไปให้ได้

เป้าหมาย...

  • kdelibs.po >= 90% -- เกือบแล้ว อีก 5%
  • desktop_kdelibs.po 100% -- เรียบร้อย
  • desktop_l10n.po 100% -- เรียบร้อย
  • kdebase 75% -- เกินไปนานแล้ว
ดูจากที่นี่
สู้ว้อย...

Saturday, April 01, 2006

System recovery

จากคราวก่อนที่สูญเสียระบบไปด้วยความประมาท... คราวนี้ก็มาถึงเวลาต้องกู้ระบบคืน เพราะไม่งั้นไม่มีเครื่องใช้

เริ่มจากการบูตแผ่น Recovery CD ก่อนซึ่ง แน่นอนว่ามันยังทำอะไรไม่ได้ ก็ออกมาจากโปรแกรม recovery แล้วจัดการ fdisk ลบ Linux partitions ออกแล้วสร้าง partition หลักขึ้นมาบน HDD ก่อน เอาละ เนื่องจากว่าผมเพิ่งเคยใช้แผ่นนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรให้บ้าง พอสร้าง partition เสร็จก็จัดการบูตใหม่แล้วเลือกใช้ตัวเลือกในการติดตั้งวินโดวส์เข้าไปใหม่ ปรากฏว่า Disk error เพราะยังไม่ได้ format -_-'

เอาใหม่ ทีนี้ format c: แล้วก็นั่งรอไปจนเสร็จ ตั้งชื่อ Volume label ว่า WINXP แล้วบูตกลับเข้าไปในโปรแกรมสำหรับกู้ระบบอีกครั้ง ทีนี้ผ่านไปได้ถึงขั้นตอนจะก็อปไฟล์ลงฮาร์ดดิสก์ แต่ก็เกิดข้อผิดพลาดมากมาย แล้วก็หลุดออกมาที่ prompt แถม error message ก็ไม่สื่ออะไรเลย ตอนนี้เหงื่อโง่ออกมาอีกครั้ง... o_O" (เอาล่ะสิกรู ทำไมฟระ) นั่งแกะไปแกะมา อ่าน batch file ดู error message จนรู้สึกได้อะไรเลาๆ คล้ายๆ ว่ามันเกิดข้อผิดพลาดตอนใช้คำสั่ง label หรือไงนี่แหละ ดูตามไปตามมา สุดท้ายก็มารู้ว่า ถ้าตั้งชื่อ Volume label เป็นอย่างอื่นนอกจาก HDD มันจะ error

ทีนี้เปลี่ยนชื่อ Volume label กลับไปเป็น HDD ทุกอย่างก็สามารถทำงานได้ตามปกติ รอจนมันก็อปไฟล์เสร็จแล้วบูตใหม่ ทีนี้ ติดกลับมาที่ GRUB prompt -_-' (อะไรกันนักกันหนาวะ) เอ้า บูตกลับเข้า CD อีกทีแล้วสั่ง fdisk /mbr ทีนี้ก็สามารถบูตกลับเข้าฮาร์ดดิสก์ได้ตามปกติ เร็วดีแฮะ 15 นาทีเอง นึกในใจ แต่ปรากฏว่า จริงๆ แล้วเป็นแค่การก็อปไฟล์สำหรับ install winXP เสร็จเท่านั้น ยังไม่ได้ติดตั้ง สรุป... ต้องรอมัน install อีกกว่าครึ่งชั่วโมง (เป็นประสบการณ์แปลกใหม่เลยนะเนี่ย ผมไม่เคยลง WinXP เองเลย เชื่อมะ :D)

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ทีนี้บูตเข้า WinXP pro ได้สำเร็จหลังจากตัว installer มันรีบูตให้อยู่หลายครั้งแต่มันปรับหน้าจอให้ที่ 800 x 600/64k สี, ยังไม่มีเสียง, ไม่มีอะไรเลย มาแบบซิงๆ และยังไม่ได้ Activate มีหน้าจอขึ้นมาเตือน แล้วลอง activate ก็ไม่ได้วุ้ย ขึ้นว่าใส่ serial ผิดอยู่นั่นแหละ หันไปดูที่คู่มือ อ้อมีตัว activate อยู่อีกแผ่นนี่เอง เป็นแผ่น driver ก็จัดการลงไดรเวอร์แล้วก็ activate ไป เฮ้อ... เสร็จไปหนึ่งขั้น

ขั้นต่อมา WinXP ตัวที่ให้มามันเป็นเวอร์ชัน 2002 + SP1 เราก็ต้องมาลง SP2 เอง แล้วก็คุ้ยแผ่น Nod32 antivirus ที่เราซื้อมาจากเมืองไทยแล้วก็ update ฟรี 1 ปี ราคา 249 บาท มาติดตั้งแล้วก็อัพเดต

จากนั้นก็จัดการกับ Windows update เพื่ออุดรูรั่ว รวมๆ ดาวน์โหลดมา update ทั้งหมดประมาณกว่า 200 - 300 เม็ก

แล้วก็ดาวน์โหลดและลงโปรแกรมที่สำคัญๆ สำหรับให้มีใช้งานก่อนก็คือ OO.o กับ Thai Community Firefox 1.5.0.1.1, Flashget เรื่องอื่นๆ ไว้ว่ากันทีหลัง ที่ต้องดาวน์โหลดใหม่เพราะว่า ที่ดาวน์โหลดไว้มันหายไปกับ ArkLinux หมดแล้ว


สุดท้าย มีเครื่องใช้แก้ขัดจนได้ หุหุ รางวัลสำหรับการอ่านข้อสอบจบ 1 ชุดคือการได้ล้างเครื่องลง WinXP ใหม่นี่เอง T-T (ผิด concept ไปหน่อย)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
  • ก่อนจะทำอะไรกับระบบ ไม่ว่าจะลง Linux หรือบางทีแค่ลง driver ก็ควรจะ backup ระบบและข้อมูลไว้ก่อน
  • จากการลง Windows ใหม่ ทำให้ผมรู้สึกว่า ลง Linux นี่มันง่ายกว่า 20-30 เท่าเลยแฮะ เพราะ
    • ที่ผ่านมาลงแต่ linux (มี TLE, Yoper แล้วก็ Ark ตัวแสบนี่แหละ)ซึ่งลงเสร็จบูตเสร็จปรับแต่งหน้าตาอีกนิดหน่อย มี application พร้อมใช้งานเป็นร้อยตัว
    • ไม่ต้อง ดาวน์โหลด security patch เยอะขนาดนี้ (นอกจากคุณจะ apt-get upgrade หรือ smart upgrade)
    • ไม่ต้องลง antivirus ไม่ต้องตาม update definition
  • แผ่น recovery นี่มันห่วยจัง แค่ตั้งเงื่อนไข partition ไม่ตรงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความรู้ ส่งกลับ manufacturer กินเงินค่าซ่อมสบาย
  • อินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ
  • ให้อ่าน และคิดก่อนที่จะทำ ถ้าไม่แน่ใจให้ถอยสถานเดียว -_-'
จบ

ปล. การเสียระบบไปครั้งนี้นี่ ข้อดีอีกข้อคือ ดูเหมือนทำให้ผมตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะไม่มีของที่ชอบเล่น (linux) มาอยู่ตรงหน้าแฮะ -_-' อืม อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้